[รีวิว] The Bitccoin Standard (Saifedean Ammous) สรุปหนังสือ

ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The Bitccoin Standard เขียนโดย Saifedean Ammous

- พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheBitcoinStandard
- พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheBitcoinStandard
- Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B07BPM3GZQ?tag=9natree-20

#TheBitcoinStandard #รีวิวTheBitcoinStandard #สรุปTheBitcoinStandard #หนังสือTheBitcoinStandard

1.เงินคืออะไรและมีวิวัฒนาการอย่างไรตลอดประวัติศาสตร์?
เงินคือเครื่องมือทางสังคมที่ช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยนมูลค่าข้ามเวลาและพื้นที่ได้ เริ่มต้นจากการแลกเปลี่ยนโดยตรง ซึ่งเหมาะสำหรับเศรษฐกิจขนาดเล็ก แต่ไม่สามารถขยายขนาดได้เนื่องจากปัญหา "ความต้องการที่ไม่ตรงกัน" มนุษย์จึงเริ่มใช้ "เงินดั้งเดิม" เช่น เปลือกหอย หินขนาดใหญ่ หรือวัวควาย ซึ่งถูกเลือกตามความ "ขายง่าย" ของมันในแง่ของการแบ่งขนาด การขนส่งข้ามพื้นที่ และการรักษาคุณค่าข้ามเวลา โลหะมีค่า โดยเฉพาะทองคำและเงิน ได้กลายเป็นรูปแบบเงินที่โดดเด่นเนื่องจากความทนทาน การแบ่งขนาดได้ และความหายากสัมพัทธ์ เมื่อเทคโนโลยีการขุดและการผลิตก้าวหน้า โลหะเหล่านี้จึงถูกนำมาผลิตเป็นเหรียญมาตรฐาน ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการขายได้อย่างมาก ยุคมาตรฐานทองคำในปลายศตวรรษที่ 19 แสดงถึงจุดสูงสุดของทองคำในฐานะเงิน ก่อนที่รัฐบาลจะเข้ามาควบคุมการผลิตเงินและเปลี่ยนไปใช้ "เงินตราที่รัฐบาลออก" หรือ Fiat Money ซึ่งเดิมมักจะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นทองคำหรือเงินได้ แต่ในที่สุดก็กลายเป็นเงินที่ไม่มีการค้ำประกันใดๆ การศึกษาประวัติศาสตร์ของเงินแสดงให้เห็นว่าคุณสมบัติที่สำคัญของเงินที่ดีคือความ "แข็งแกร่ง" ซึ่งหมายถึงความยากในการเพิ่มปริมาณการผลิตใหม่เมื่อเทียบกับปริมาณที่มีอยู่แล้ว

2.เงินตราที่รัฐบาลออก แตกต่างจากเงินสินค้าโภคภัณฑ์อย่างไร?
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเงินตราที่รัฐบาลออกและเงินสินค้าโภคภัณฑ์ อยู่ที่การควบคุมอุปทาน เงินสินค้าโภคภัณฑ์มีมูลค่าในตัวเอง และอุปทานถูกจำกัดโดยต้นทุนและความยากลำบากในการผลิต การซื้อขายเงินสินค้าโภคภัณฑ์ไม่ต้องอาศัยผู้ดูแลหรือบุคคลที่สาม ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากผู้ใด ในทางตรงกันข้าม เงินตราที่รัฐบาลออกมีมูลค่าตามคำสั่งของรัฐบาล และอุปทานถูกควบคุมโดยธนาคารกลาง รัฐบาลสามารถเพิ่มอุปทานของเงินตราที่รัฐบาลออกได้ตามอำเภอใจ ซึ่งนำไปสู่การด้อยค่าอย่างต่อเนื่องผ่านอัตราเงินเฟ้อ สิ่งนี้จะส่งผลให้ผู้ถือเงินสูญเสียความมั่งคั่ง ในขณะที่ผู้ที่สามารถพิมพ์เงินหรือเข้าถึงเงินใหม่ได้ก่อนจะได้รับประโยชน์ นอกจากนี้ การควบคุมระบบธนาคารและกฎหมายบังคับใช้หนี้ ยังจำกัดความสามารถของผู้คนในการใช้รูปแบบเงินอื่น ๆ เงินตราที่รัฐบาลออกยังมีความเสี่ยงต่อการยึดหรือการควบคุมเงินทุน ซึ่งไม่เป็นปัญหาสำหรับเงินสินค้าโภคภัณฑ์

3.Bitcoin คืออะไร และแตกต่างจากเงินรูปแบบอื่น ๆ ที่เคยมีมาอย่างไร?
Bitcoin คือระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบเพียร์ทูเพียร์ที่ไม่ต้องอาศัยบุคคลที่สามที่น่าเชื่อถือ เป็นเงินดิจิทัลรูปแบบแรกที่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหา "การใช้จ่ายซ้ำซ้อน" โดยไม่ต้องพึ่งพาศูนย์กลางการควบคุม Bitcoin เป็นนวัตกรรมที่ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล รวมถึงเครือข่ายเพียร์ทูเพียร์ที่กระจายอำนาจ การเข้ารหัสแบบ Public Key Hashing และ Proof-of-Work เพื่อสร้างสกุลเงินที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากเงินรูปแบบเดิมอย่างสิ้นเชิง แตกต่างจากเงินตราที่รัฐบาลออก อุปทานของ Bitcoin ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าด้วยอัตราที่ลดลงเรื่อยๆ และถูกจำกัดไว้ที่ 21 ล้านเหรียญ สิ่งนี้ทำให้ Bitcoin เป็นรูปแบบของ "ความขาดแคลนสัมบูรณ์" ครั้งแรกในรูปแบบดิจิทัล ทำให้มันมีความสามารถในการรักษาคุณค่าข้ามเวลาได้ดีเยี่ยม นอกจากนี้ ลักษณะการกระจายอำนาจของ Bitcoin หมายความว่าไม่มีหน่วยงานใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือสถาบันการเงิน สามารถควบคุม ยึด หรือด้อยค่าสกุลเงินได้โดยพลการ ทำให้ผู้ถือ Bitcoin มีความเป็นเจ้าของ เหนือเงินของตนเองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในยุคดิจิทัล

4.Bitcoin แก้ปัญหาอะไร และมีความสำคัญในยุคดิจิทัลอย่างไร?
Bitcoin มุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาที่มนุษย์ต้องเผชิญมาตลอดประวัติศาสตร์ นั่นคือ การสร้างรูปแบบเงินที่สามารถเคลื่อนย้ายมูลค่าข้ามเวลาและพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ยังคงคุณค่าในระยะยาวได้ ในยุคดิจิทัล การทำธุรกรรมทางกายภาพกลายเป็นสิ่งที่ไม่สะดวก และการชำระเงินแบบดิจิทัลมักต้องอาศัยตัวกลาง ซึ่งจำกัดความเป็นเจ้าของของผู้ใช้และทำให้พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของบุคคลที่สาม นอกจากนี้ การเปลี่ยนจากเงินสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำไปสู่เงินตราที่รัฐบาลออกได้ลดอำนาจอธิปไตยของประชาชนเหนือความมั่งคั่งของพวกเขา เนื่องจากธนาคารกลางสามารถเพิ่มอุปทานของเงินได้ตามอำเภอใจ Bitcoin เสนอทางออกโดยนำคุณสมบัติที่พึงประสงค์ของเงินสดทางกายภาพ มาสู่โลกดิจิทัล และรวมเข้ากับนโยบายการเงินที่แข็งแกร่งและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งไม่สามารถถูกควบคุมเพื่อก่อให้เกิดอัตราเงินเฟ้อโดยไม่คาดคิด สิ่งนี้ทำให้ Bitcoin เป็นโซลูชันทางเทคโนโลยีที่ช่วยให้บุคคลมีอิสรภาพทางเศรษฐกิจมากขึ้น โดยอนุญาตให้ส่งมูลค่าจำนวนมากข้ามโลกได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากใคร และโดยการจัดเตรียมที่เก็บมูลค่าที่ป้องกันการด้อยค่า

5.Bitcoin สามารถทำหน้าที่เป็น "ที่เก็บมูลค่า" ได้ดีเพียงใด?
ความสามารถของ Bitcoin ในการเป็นที่เก็บมูลค่าหลักมาจากความขาดแคลนสัมบูรณ์และอุปทานที่กำหนดไว้ล่วงหน้า แตกต่างจากเงินรูปแบบอื่น ๆ ทั้งหมด Bitcoin มีการจำกัดอุปทานสูงสุดที่ 21 ล้านเหรียญ และอัตราการออกใหม่ลดลงเรื่อยๆ ตามเวลา การจำกัดอุปทานนี้ทำให้ Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีความขาดแคลนสูง ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับที่เก็บมูลค่าที่ดี อัตราส่วน Stock-to-flow ของ Bitcoin คาดว่าจะเกินอัตราส่วนของทองคำในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีการออกใหม่ ทำให้มันเป็นสื่อที่ดีที่สุดในการเก็บรักษามูลค่าที่เกิดจากเวลาของมนุษย์ที่มีจำกัด ลักษณะดิจิทัลของ Bitcoin ยังช่วยให้สามารถขนส่งมูลค่าได้อย่างง่ายดายและปลอดภัยทั่วโลก ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบเหนือสื่อเงินทางกายภาพ เช่น ทองคำ แม้ว่าราคาของ Bitcoin อาจมีความผันผวนสูงในปัจจุบัน ซึ่งเป็นลักษณะของสินทรัพย์ที่อยู่ในช่วงการเติบโตและการค้นพบราคา แต่ความไม่ยืดหยุ่นของอุปทานเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์คือสิ่งที่ผลักดันให้ราคาของมันปรับตัวขึ้นเมื่อความต้องการเพิ่มขึ้น และความคาดการณ์ได้ของอุปทานเมื่อรวมกับการเติบโตของจำนวนผู้ใช้ อาจนำไปสู่ความเสถียรในมูลค่ามากขึ้นในระยะยาว

6.Bitcoin มีศักยภาพที่จะเป็น "หน่วยวัดมูลค่า" หรือ "สื่อกลางการแลกเปลี่ยน" ทั่วโลกได้หรือไม่?
ในปัจจุบัน Bitcoin ยังไม่สามารถทำหน้าที่เป็นหน่วยวัดมูลค่าทั่วโลกได้ เนื่องจากความผันผวนของราคาในปัจจุบัน ทำให้ยากที่จะใช้เป็นหน่วยมาตรฐานในการกำหนดราคาสินค้าและบริการ อย่างไรก็ตาม หาก Bitcoin ยังคงเติบโตและได้รับการยอมรับมากขึ้น จนคิดเป็นสัดส่วนที่สำคัญของอุปทานเงินทั่วโลกและธุรกรรมการชำระเงินระหว่างประเทศ อุปสงค์ของมันจะมีความคาดการณ์ได้และมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความมั่นคงในมูลค่าได้ ในที่สุด Bitcoin ก็อาจจะกลายเป็นหน่วยวัดมูลค่าทั่วโลกได้เช่นเดียวกับที่ทองคำเคยเป็นในยุคมาตรฐานทองคำ
ในฐานะสื่อกลางการแลกเปลี่ยน แม้ว่า Bitcoin ในปัจจุบันอาจยังไม่สะดวกสำหรับการทำธุรกรรมขนาดเล็กในชีวิตประจำวัน เนื่องจากข้อจำกัดด้านความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมบนเครือข่ายหลักและการเก็บค่าธรรมเนียม แต่มันมีศักยภาพสูงสำหรับการชำระเงินปริมาณมากระหว่างสถาบันการเงินหรือบุคคล เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงคู่สัญญา และการชำระเงินมีความสมบูรณ์ในเวลาอันสั้นเมื่อเทียบกับระบบธนาคารแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ มีแนวคิดว่าระบบการชำระเงินระดับรอง ที่สร้างขึ้นบนเครือข่าย Bitcoin สามารถช่วยแก้ปัญหาด้านความสามารถในการขยายขนาดสำหรับการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันได้ คล้ายกับที่ธนาคารที่ได้รับการสนับสนุนจากทองคำเคยออกเงินดิจิทัลที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นทองคำได้ในอดีต

7. Bitcoin ได้รับการควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?
Bitcoin ได้รับการออกแบบมาให้ทนทานต่อการควบคุมและการเปลี่ยนแปลงโดยบุคคลหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ความยืดหยุ่นนี้ไม่ได้มาจากซอฟต์แวร์ของ Bitcoin ซึ่งเป็น Open-source และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่มาจากเศรษฐศาสตร์ของสกุลเงินและเครือข่าย ซึ่งเกิดจากความยากลำบากในการให้สมาชิกทุกคนในเครือข่ายยอมรับการเปลี่ยนแปลงซอฟต์แวร์เดียวกันอย่างพร้อมเพรียง เครือข่าย Bitcoin ประกอบด้วยผู้เข้าร่วมหลายราย รวมถึงนักขุด นักพัฒนาโค้ด และผู้ใช้ ซึ่งมีแรงจูงใจที่แตกต่างกัน และไม่มีฝ่ายใดสามารถควบคุมเครือข่ายได้ การโจมตีเพื่อเปลี่ยนแปลงบันทึกธุรกรรมของเครือข่าย จะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลและมีแนวโน้มที่จะทำลายมูลค่าของ Bitcoin เอง ทำให้ไม่มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่จะทำเช่นนั้น ความสำเร็จของ Bitcoin ในการต้านทานการเปลี่ยนแปลงและการโจมตีตลอดหลายปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงลักษณะการกระจายอำนาจที่แท้จริงและความสามารถในการต้านทานอำนาจภายนอก

8.ความกังวลที่สำคัญเกี่ยวกับ Bitcoin คืออะไร และมันอาจล้มเหลวได้อย่างไร?
มีความกังวลหลายประการเกี่ยวกับ Bitcoin รวมถึงความผันผวนของราคาที่สูง การใช้โดยอาชญากร และความสามารถในการขยายขนาดเพื่อรองรับธุรกรรมจำนวนมาก ความผันผวนคาดว่าจะลดลงเมื่อตลาดเติบโตและสถาบันการเงินเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ในขณะที่การใช้ Bitcoin โดยอาชญากรถูกมองว่าไม่เหมาะ เนื่องจากบัญชีแยกประเภท ของ Bitcoin สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา ทำให้การติดตามยากขึ้นสำหรับกิจกรรมทางอาญาจริง ๆ ส่วนปัญหาความสามารถในการขยายขนาดกำลังได้รับการแก้ไขด้วยโซลูชันระดับรอง
Bitcoin อาจล้มเหลวได้ด้วยเหตุผลที่อาจคาดเดาได้หรือคาดเดาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สองภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดที่กล่าวถึงคือ การกลับมาสู่ระบบการเงินที่มีพื้นฐานอยู่บนเงินแข็ง เช่น ทองคำ โดยรัฐบาลทั่วโลก ซึ่งจะลดความต้องการ Bitcoin ในฐานะทางเลือก และการประดิษฐ์รูปแบบเงินแข็งดิจิทัลใหม่ที่เหนือกว่า Bitcoin ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่ายังไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลแบบกระจายอำนาจอย่างแท้จริงเพียงสกุลเดียวที่เติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติเป็นสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ความล้มเหลวที่แท้จริงสำหรับ Bitcoin คือการสูญเสียความเกี่ยวข้อง โดยที่ไม่มีใครต้องการใช้บริการที่นำเสนออีกต่อไป ซึ่งจะทำให้เครือข่ายขาดแรงจูงใจในการดำเนินงานและจะ "อดตาย" ไปเองในที่สุด