Show Notes
- พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/IWillTeachYouToBeRich
- พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/IWillTeachYouToBeRich
- Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/0761147489?tag=9natree-20
#IWillTeachYouToBeRich #รีวิวIWillTeachYouToBeRich #สรุปIWillTeachYouToBeRich #หนังสือIWillTeachYouToBeRich
1. การ "ร่ำรวย" มีความหมายอย่างไร และแตกต่างจาก "มีเงินเยอะ" อย่างไร?
การ "ร่ำรวย" ไม่ได้เป็นเพียงแค่การมีเงินเยอะเท่านั้น แต่หมายถึงการมีอิสระทางการเงินเพื่อใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ มันแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ตัวอย่างเช่น สำหรับคนหนึ่งอาจหมายถึงการได้เดินทางท่องเที่ยวบ่อยๆ ในขณะที่อีกคนอาจหมายถึงการได้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยกับสิ่งที่รักและประหยัดกับสิ่งที่ไม่ได้ให้ความสำคัญ การร่ำรวยตามความหมายนี้คือการที่คุณสามารถตัดสินใจเรื่องอาชีพได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงเงิน การช่วยเหลือครอบครัว และการใช้จ่ายอย่างมีสติในสิ่งที่สำคัญกับคุณจริงๆ
2. การลงทุนระยะยาว มีข้อดีอย่างไรเมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้นระยะสั้นที่ดูน่าตื่นเต้น?
การลงทุนระยะยาวแบบซื้อและถือ อาจดูน่าเบื่อกว่าการซื้อขายหุ้นบ่อยๆ ตามข่าวหรือคำแนะนำ แต่การวิเคราะห์วรรณกรรมเกี่ยวกับการลงทุนแสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์นี้ชนะเสมอในระยะยาว การลงทุนไม่ได้เกี่ยวกับความน่าตื่นเต้น แต่เกี่ยวกับการทำเงิน ในฐานะนักลงทุนรายย่อย การเลือกกองทุนที่ดีและซื้อเพิ่มตามตารางเวลาอัตโนมัติ การวิเคราะห์และประเมินการลงทุนทุกๆ 6 เดือน จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการพยายามจับจังหวะตลาดหรือเลือกหุ้นรายตัวที่ดูน่าสนใจแต่มีความเสี่ยงสูง
3. "การใช้จ่ายอย่างมีสติ" คืออะไร และช่วยให้คุณใช้จ่ายกับสิ่งที่รักมากขึ้นได้อย่างไร?
"การใช้จ่ายอย่างมีสติ" ไม่ใช่การบอกให้คุณหยุดซื้อกาแฟลาเต้ แต่เป็นการที่คุณสามารถใช้จ่ายกับสิ่งที่รักได้อย่างแท้จริง โดยการลดการใช้จ่ายอย่างโหดเหี้ยมในสิ่งที่คุณไม่ได้สนใจจริงๆ มันคือการจัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่าย รับรู้ว่าคุณให้คุณค่ากับอะไร และตั้งใจใช้เงินไปกับสิ่งเหล่านั้น แทนที่จะพยายามมีทุกอย่างและใช้จ่ายไปกับสิ่งต่างๆ อย่างไร้สติ การวางแผนการใช้จ่ายอย่างมีสติช่วยให้คุณควบคุมเงินของคุณได้ และมีเงินเหลือเพื่อใช้จ่ายกับประสบการณ์หรือสิ่งของที่สำคัญกับคุณจริงๆ
4. ทำไมการเจรจาต่อรองค่าธรรมเนียมกับธนาคารและบริษัทต่างๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญ?
การเจรจาต่อรองค่าธรรมเนียมกับธนาคารและบริษัทต่างๆ เป็นเรื่องสำคัญเพราะค่าธรรมเนียมเหล่านี้สามารถสะสมเป็นจำนวนมากได้ และเกือบทั้งหมดสามารถเจรจาต่อรองได้ ธนาคารมีค่าใช้จ่ายในการหาลูกค้าใหม่สูงมาก ทำให้พวกเขาไม่ต้องการเสียลูกค้าปัจจุบันไปเพียงเพราะค่าธรรมเนียมเล็กน้อย คุณมีอำนาจต่อรองในฐานะลูกค้า โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นลูกค้าที่จ่ายเงินเต็มจำนวนและตรงเวลา การขอเพิ่มวงเงินเครดิต ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการเพิ่มคะแนนเครดิตโดยการลดอัตราการใช้เครดิตของคุณ
5. เหตุใดการมีเป้าหมายในการออมเงินจึงมีความสำคัญ?
การมีเป้าหมายในการออมเงินทำให้การออมง่ายขึ้นและมีความหมายมากขึ้น การออมเงินโดยไม่มีเป้าหมายอาจทำให้รู้สึกน่าท้อใจและขาดแรงจูงใจ เมื่อคุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนและจับต้องได้ เช่น การซื้อบ้าน การเดินทาง หรือการศึกษาของลูก การออมเงินทุกๆ ดอลลาร์จะกลายเป็นการก้าวไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้การตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้จ่ายง่ายขึ้นและมีความหมายมากขึ้น คุณจะเต็มใจที่จะสละสิ่งที่ไม่สำคัญเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ใหญ่กว่า
6. เหตุใดการเปลี่ยนแปลงทางการเงินแบบทีละน้อย จึงยั่งยืนกว่าการเปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว?
การเปลี่ยนแปลงทางการเงินแบบสุดขั้วมักจะไม่ยั่งยืน เช่น การลดการใช้จ่ายลง 50% ในหนึ่งเดือนเพียงอย่างเดียวอาจไม่ส่งผลยาวนาน การสร้างนิสัยทางการเงินที่ดีควรเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณแทบจะไม่สังเกตเห็น และค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เช่น การลดการใช้จ่ายลง 10% อย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานจะส่งผลรวมที่ใหญ่กว่าการลด 50% เพียงช่วงสั้นๆ การเปลี่ยนแปลงแบบทีละน้อยช่วยให้คุณปรับตัวและสร้างนิสัยใหม่ได้อย่างยั่งยืน
7. การสร้างพอร์ตการลงทุนของคุณเอง ควรเริ่มต้นอย่างไร?
การสร้างพอร์ตการลงทุนของคุณเองไม่ได้เกี่ยวกับการเลือกหุ้นที่จะพุ่งทะยาน แต่เกี่ยวกับการกำหนดการจัดสรรสินทรัพย์ ที่สมดุล ซึ่งจะช่วยให้คุณผ่านพ้นภาวะตลาดผันผวนและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป คุณควรเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจประเภทของสินทรัพย์พื้นฐาน เช่น หุ้น พันธบัตร และเงินสด จากนั้นพิจารณาการกระจายความเสี่ยง ในประเภทสินทรัพย์ย่อยต่างๆ ตัวอย่างเช่น แบบจำลอง Swensen ที่แนะนำการจัดสรรเงินในหุ้นในประเทศ หุ้นต่างประเทศ และสินทรัพย์อื่นๆ การเลือกลงทุนในกองทุนรวมดัชนี ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำเป็นวิธีที่เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพในการเริ่มต้น
8. เมื่อไหร่จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการขายการลงทุนของคุณ?
คุณควรพิจารณาขายการลงทุนของคุณเมื่อคุณบรรลุเป้าหมายเฉพาะที่คุณลงทุนไว้ ตัวอย่างเช่น หากคุณลงทุนเพื่อการพักผ่อนในฝันและมีเงินเพียงพอแล้ว ก็ถึงเวลาขายและใช้เงินนั้น การลงทุนระยะยาวแบบซื้อและถือเหมาะสำหรับเป้าหมายในระยะยาวมาก แต่สำหรับเป้าหมายระยะกลางถึงระยะสั้น คุณควรตั้งเป้าหมายการออมในบัญชีออมทรัพย์แทน นอกจากนี้ หากการลงทุนของคุณยังทำผลงานได้ต่ำกว่าดัชนีชี้วัดหรืออุตสาหกรรมโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ และคุณได้วิเคราะห์แล้วว่าแนวโน้มดังกล่าวไม่น่าจะกลับมา คุณอาจพิจารณาขายเพื่อจัดสรรเงินใหม่ไปยังการลงทุนที่มีศักยภาพมากกว่า