Show Notes
- พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheSimplePathtoWealth
- พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheSimplePathtoWealth
- Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0DT7CM52P?tag=9natree-20
#TheSimplePathtoWealth #รีวิวTheSimplePathtoWealth #สรุปTheSimplePathtoWealth #หนังสือTheSimplePathtoWealth
1. "เส้นทางง่ายๆ สู่ความมั่งคั่ง" คืออะไร และหลักการพื้นฐานในการสร้างความมั่งคั่งมีอะไรบ้าง?
"เส้นทางง่ายๆ สู่ความมั่งคั่ง" เป็นแนวทางที่เน้นความเรียบง่ายและประสิทธิภาพในการลงทุน ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต หลักการพื้นฐานสามข้อที่ JL Collins แนะนำคือ:
ใช้จ่ายให้น้อยกว่าที่หารายได้: นี่คือรากฐานสำคัญของการสร้างความมั่งคั่ง คุณต้องสร้างส่วนเกินจากการใช้จ่ายเพื่อนำไปลงทุน การควบคุมความต้องการและหลีกเลี่ยง "เงินเฟ้อของไลฟ์สไตล์" เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มีเงินออมมากขึ้น
นำส่วนเกินไปลงทุน: เมื่อคุณมีเงินเหลือจากการใช้จ่าย คุณควรนำไปลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เงินของคุณงอกเงย การลงทุนในตลาดหุ้นได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องมือสร้างความมั่งคั่งที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์
หลีกเลี่ยงหนี้สิน: หนี้สิน โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิตที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ถือเป็นภาระที่ไม่อาจยอมรับได้และเป็นอุปสรรคที่อันตรายที่สุดในการสร้างความมั่งคั่ง แม้แต่ "หนี้ดี" เช่น สินเชื่อธุรกิจหรือสินเชื่อจำนอง ควรใช้ด้วยความระมัดระวังสูงสุด และหากเป้าหมายคืออิสรภาพทางการเงิน ควรมีหนี้ให้น้อยที่สุด
2. ทำไมผู้เขียนถึงแนะนำให้ลงทุนในกองทุนดัชนีรวมตลาดหุ้น และกองทุนดัชนีรวมตลาดตราสารหนี้ และอะไรคือประโยชน์หลักของกองทุนเหล่านี้?
ผู้เขียนแนะนำให้ลงทุนในกองทุนดัชนีรวมตลาดหุ้นและตราสารหนี้ เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่าย มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่าที่สุดสำหรับนักลงทุนรายย่อยในการสร้างความมั่งคั่ง:
กองทุนดัชนีรวมตลาดหุ้น : กองทุนนี้ถือหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกาทุกแห่ง ซึ่งรวมถึงบริษัทประมาณ 3,600 แห่ง การลงทุนใน VTSAX เท่ากับการเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวม ประโยชน์หลักคือ "การชำระล้างตัวเอง" หมายความว่าบริษัทที่อ่อนแอจะถูกคัดออกและถูกแทนที่ด้วยบริษัทที่เติบโตและประสบความสำเร็จใหม่ๆ โดยอัตโนมัติ ทำให้ดัชนีมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นในระยะยาวเสมอ นอกจากนี้ยังหลีกเลี่ยงความจำเป็นในการพยายามเลือกหุ้นรายตัวหรือจับจังหวะตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังทำไม่ได้อย่างสม่ำเสมอ
กองทุนดัชนีรวมตลาดตราสารหนี้ : กองทุนนี้ประกอบด้วยตราสารหนี้คุณภาพสูงจำนวนมาก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกรายเดียว และช่วยลดความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากถือพันธบัตรที่มีวันครบกำหนดและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน วัตถุประสงค์หลักของตราสารหนี้ในพอร์ตโฟลิโอคือการทำให้การลงทุนราบรื่นขึ้น สร้างรายได้เล็กน้อย และเป็นเครื่องป้องกันภาวะเงินฝืด
3. "เงิน F-You" คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรต่ออิสรภาพทางการเงิน?
"เงิน F-You" หมายถึงเงินเก็บจำนวนมากพอที่จะทำให้คุณมีทางเลือกในชีวิต และสามารถปฏิเสธสิ่งที่คุณไม่ต้องการทำได้ ไม่ได้เกี่ยวกับ "การเกษียณอายุ" แต่เกี่ยวกับ "การมีอิสระ" ผู้เขียนระบุว่านี่คือเป้าหมายหลักของการแสวงหาอิสรภาพทางการเงิน คือการมีอำนาจที่จะพูดว่า "ไม่" กับงานที่ไม่ชอบ หรือสถานการณ์ทางการเงินที่ไม่พึงประสงค์ มันเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณควบคุมชะตาชีวิตทางการเงินของตัวเองได้มากขึ้น และให้คุณค่ากับเวลาและอิสรภาพมากกว่าการใช้จ่ายเพื่อสิ่งของ
4. ผู้เขียนแนะนำให้คิดถึง "เงิน" ในแง่ใด เพื่อให้สร้างความมั่งคั่งได้จริง?
ผู้เขียนเน้นย้ำถึงการเปลี่ยนกรอบความคิดเกี่ยวกับเงิน:
หยุดคิดว่าเงินของคุณสามารถซื้ออะไรได้บ้าง: ผู้คนจำนวนมาก รวมถึงผู้ที่มีรายได้สูง ประสบปัญหาทางการเงินเพราะมองว่าเงินเป็นเพียงเครื่องมือในการซื้อสิ่งของต่างๆ ซึ่งนำไปสู่การใช้จ่ายเกินตัว
เริ่มคิดว่าเงินของคุณสามารถสร้างรายได้อะไรได้บ้าง: นี่คือระดับความคิดที่สำคัญกว่า เมื่อคุณเริ่มมองเงินว่าเป็นเครื่องจักรในการสร้างรายได้ คุณจะให้ความสำคัญกับการลงทุนและการงอกเงยของเงิน
คิดต่อไปว่าเงินที่เงินของคุณสร้างรายได้นั้นสามารถสร้างรายได้อะไรได้อีก: นี่คือแนวคิดของดอกเบี้ยทบต้น ซึ่งเป็นพลังที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างความมั่งคั่ง เมื่อคุณเข้าใจว่าเงินของคุณสามารถทำงานให้คุณได้ และเงินที่ได้มาจากการทำงานนั้นก็สามารถทำงานต่อได้อีก คุณจะเห็นเส้นทางสู่ความมั่งคั่งอย่างชัดเจน
5. ตลาดหุ้นมีความผันผวนและอาจเกิดวิกฤตได้บ่อยครั้ง นักลงทุนควรจัดการกับความกลัวและความโลภที่มาพร้อมกับความผันผวนนี้อย่างไร?
ตลาดหุ้นขึ้นลงเป็นเรื่องปกติ วิกฤตการณ์ ตลาดหมี และการปรับฐานเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่คาดหวังได้ และไม่เคยเป็นจุดสิ้นสุดของโลก ผู้เขียนเน้นย้ำถึงประเด็นสำคัญดังนี้:
คาดการณ์การปรับตัวลงของตลาด: วิกฤตการณ์ทางการเงินในระดับเดียวกับปี 2008 สามารถเกิดขึ้นได้ทุกๆ 25 ปี หรือบ่อยกว่านั้น แต่ตลาดจะกลับมาสูงขึ้นเสมอในระยะยาว
อย่าพยายามจับจังหวะตลาด : ไม่มีใครสามารถทำนายการเคลื่อนไหวของตลาดได้อย่างน่าเชื่อถือ การพยายามซื้อเมื่อตลาดต่ำสุดและขายเมื่อตลาดสูงสุดเป็นเกมที่แพ้มาโดยตลอด และจะทำให้คุณพลาดโอกาสในการเติบโตที่สำคัญ
พัฒนาระเบียบวินัยทางอารมณ์: ความกลัวและความโลภเป็นอารมณ์หลักที่ขับเคลื่อนนักลงทุน ความกลัวจะทำให้คุณไม่กล้าลงทุน หรือขายทิ้งด้วยความตื่นตระหนกเมื่อตลาดตก ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เลวร้ายที่สุด สิ่งสำคัญคือต้อง "ทำให้ใจคุณพร้อม" และยอมรับความเสี่ยงที่มาพร้อมกับผลตอบแทนที่คุณต้องการ หากคุณไม่สามารถรับได้เมื่อความมั่งคั่งของคุณลดลงครึ่งหนึ่ง และยังคงยึดมั่นในแผนการลงทุน ก็ยังไม่ควรลงทุนในหุ้น
6. มีคำแนะนำเกี่ยวกับการจัดสรรสินทรัพย์ ในพอร์ตโฟลิโออย่างไร และควรพิจารณาปัจจัยใดบ้าง?
ผู้เขียนให้คำแนะนำการจัดสรรสินทรัพย์ทั่วไปสำหรับพอร์ตโฟลิโอที่เรียบง่าย โดยมีสัดส่วนดังนี้:
หุ้น 75%: ในรูปของ VTSAX ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของพอร์ตโฟลิโอเพื่อการเติบโตของความมั่งคั่งระยะยาว
พันธบัตร 20%: ในรูปของ VBTLX เพื่อช่วยทำให้การลงทุนในหุ้นราบรื่นขึ้น สร้างรายได้ และเป็นเครื่องป้องกันภาวะเงินฝืด
เงินสด 5%: ในรูปของ VMRXX เพื่อรองรับความต้องการใช้จ่ายและเป็นสภาพคล่อง
คุณสามารถปรับสัดส่วนเหล่านี้ได้ตามความเหมาะสมกับปัจจัยส่วนตัว:
ช่วงอายุ: ในช่วงวัยหนุ่มสาวและอยู่ในช่วงสะสมความมั่งคั่ง ผู้เขียนแนะนำให้เน้นหุ้นเกือบทั้งหมด เพื่อใช้ประโยชน์จากผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว
ความทนทานต่อความผันผวน : หากคุณต้องการการลงทุนที่ราบรื่นขึ้นและยอมรับผลตอบแทนระยะยาวที่อาจต่ำลงได้ ให้เพิ่มสัดส่วนใน VBTLX แต่หากคุณสบายใจกับความผันผวนและต้องการการเติบโตที่สูงขึ้น ให้เพิ่มสัดส่วนใน VTSAX
แผนในอนาคต: เมื่อเข้าใกล้ช่วงเกษียณอายุ คุณอาจพิจารณาเพิ่มสัดส่วนของพันธบัตรเพื่อลดความผันผวนของพอร์ตโฟลิโอ
7. ทำไมผู้เขียนถึงเป็นผู้สนับสนุน Vanguard อย่างแข็งขัน และอะไรคือสิ่งที่ทำให้บริษัทนี้ "พิเศษ" ในสายตาของผู้เขียน?
ผู้เขียนเป็นผู้สนับสนุน Vanguard อย่างแข็งขัน เนื่องจากโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์และพันธกิจของบริษัทที่มุ่งเน้นประโยชน์ของนักลงทุน:
เป็นของลูกค้า : Vanguard เป็นเจ้าของโดยกองทุนเอง ซึ่งในทางกลับกันก็เป็นของลูกค้า ดังนั้นจึงไม่มีผู้ถือหุ้นภายนอกที่ต้องแสวงหากำไร
ดำเนินการโดยมีต้นทุนต่ำที่สุด : เนื่องจาก Vanguard เป็นของลูกค้า บริษัทจึงมีเป้าหมายในการดำเนินงานโดยคิดค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุด เพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้า
ค่าธรรมเนียมต่ำมาก : เป็นผลมาจากโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ Vanguard สามารถเสนอค่าธรรมเนียมการจัดการที่ต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มผลตอบแทนสุทธิให้กับนักลงทุนในระยะยาว
มุ่งเน้นที่กองทุนดัชนี: Vanguard เป็นผู้บุกเบิกกองทุนดัชนี ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการลงทุน
ผู้เขียนยืนยันว่าเขาไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ จาก Vanguard การแนะนำของเขาเป็นเพียงเพราะความเชื่อมั่นในปรัชญาและรูปแบบธุรกิจที่เอื้อประโยชน์แก่นักลงทุนรายย่อยมากที่สุด
8. การบรรลุอิสรภาพทางการเงินหมายถึงอะไร และต้องใช้เงินเท่าไรในการไปถึงจุดนั้น?
การบรรลุอิสรภาพทางการเงินหมายถึงการมีเงินเก็บมากพอที่รายได้จากการลงทุนสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายประจำปีของคุณได้ ผู้เขียนเสนอ "กฎ 4%" เป็นแนวทาง:
กฎ 4%: หาก 4% ของสินทรัพย์ที่คุณลงทุนสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายประจำปีของคุณได้ คุณก็ถือว่ามีอิสรภาพทางการเงินแล้ว
เป้าหมายการลงทุน: กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การมีเงินลงทุนเท่ากับ 25 เท่าของค่าใช้จ่ายประจำปีของคุณ
ตัวอย่างเช่น หากคุณมีค่าใช้จ่ายปีละ 60,000 ดอลลาร์ คุณจะต้องมีเงินลงทุน 1,500,000 ดอลลาร์ เพื่อบรรลุอิสรภาพทางการเงิน
ซึ่งหมายความว่า การมีอิสรภาพทางการเงินนั้นเกี่ยวข้องกับการควบคุมความต้องการและการใช้จ่ายของคุณมากพอๆ กับการสร้างสินทรัพย์ หากค่าใช้จ่ายของคุณสูง เป้าหมายเงินที่คุณต้องการก็จะสูงขึ้นอย่างมาก
เมื่อถึงจุดนี้ คุณจะมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่จะขยายไลฟ์สไตล์ คิดเกี่ยวกับการให้เหมือนมหาเศรษฐี มีลูกหากวางแผนไว้ และพิจารณาซื้อบ้านเมื่อคุณสามารถซื้อได้อย่างง่ายดายและเป็นเพียง "ความสุขส่วนตัวที่แพง" ไม่ใช่การลงทุน