Show Notes
- พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheBodyKeepstheScore
- พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheBodyKeepstheScore
- Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B00IICN1F8?tag=9natree-20
#TheBodyKeepstheScore #รีวิวTheBodyKeepstheScore #สรุปTheBodyKeepstheScore #หนังสือTheBodyKeepstheScore
1. เหตุใดการใช้ยาเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอในการรักษาผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ?
จากแหล่งข้อมูล การใช้ยาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอเนื่องจากยาบางชนิด เช่น ยากล่อมประสาท และยากล่อมประสาทรุ่นที่สอง แม้ว่าจะช่วยลดอาการบางอย่าง เช่น ภาวะตื่นตัวมากเกินไป หรือความโกรธ ได้ แต่ก็อาจขัดขวางความสามารถในการรับรู้สัญญาณความสุข ความพึงพอใจ หรืออันตรายที่ละเอียดอ่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นสำหรับการมีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันและสร้างความสัมพันธ์ นอกจากนี้ ยาเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียง เช่น น้ำหนักขึ้น เบาหวาน และทำให้ร่างกายเฉื่อยชา ซึ่งยิ่งเพิ่มความรู้สึกแปลกแยกออกไปอีก
กรณีของ Tom แสดงให้เห็นว่ายาไม่ได้แก้ไขปัญหาพื้นฐาน การปฏิเสธยาของเขาเกิดจากความต้องการที่จะ "เป็นอนุสรณ์สถานที่มีชีวิต" ให้เพื่อนที่เสียชีวิตในสงครามเวียดนาม ซึ่งเป็นความต้องการทางจิตใจมากกว่าที่จะเป็นปัญหาทางชีวเคมีเพียงอย่างเดียว ยาไม่สามารถจัดการกับอาการชาทางอารมณ์ ความรู้สึกแปลกแยกจากตัวเองและคนรอบข้าง หรือการขาดความรู้สึกมีเป้าหมายและทิศทางที่ Tom ประสบได้ แหล่งข้อมูลเน้นย้ำว่าการรักษาที่มีประสิทธิภาพต้องจัดการกับผลกระทบทางร่างกายและจิตใจที่เกิดจากการบาดเจ็บอย่างครอบคลุม นอกเหนือจากการควบคุมอาการด้วยยา
2. การบาดเจ็บส่งผลต่อความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเองของผู้รอดชีวิตอย่างไร?
การบาดเจ็บสามารถส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเอง ของผู้รอดชีวิต ผู้รอดชีวิตอาจประสบกับอาการชาทางอารมณ์ ทำให้พวกเขารู้สึกตัดขาดจากความรู้สึกของตัวเองและคนรอบข้าง ดังที่ Tom อธิบายว่ารู้สึกเหมือนหัวใจแข็งตัวและใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงกระจก อาการนี้อาจขยายไปถึงตัวเอง ทำให้พวกเขารู้สึกแทบไม่รู้จักตัวเองเมื่อมองในกระจก หรือสังเกตตัวเองจากระยะไกล
นอกจากนี้ การบาดเจ็บยังสามารถนำไปสู่การสลายตัวของบุคลิกภาพ ซึ่งเป็นการสูญเสียความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเองอย่างรุนแรง ดังกรณีของ Ute ซึ่งการสแกนสมองแสดงความว่างเปล่าในสมองระหว่างการย้อนรำลึก หรือประสบการณ์ของผู้เขียนที่ถูกปล้นและรู้สึกว่าลอยอยู่เหนือเหตุการณ์ มองดูตัวเองจากภายนอก การสลายตัวของบุคลิกภาพทำให้โลกรอบตัวดูแปลก ประหลาด ต่างไปจากเดิม เหมือนฝัน และความสามารถในการสัมผัสทั้งความเจ็บปวดและความสุขก็หายไป
การบาดเจ็บยังส่งผลกระทบต่อระบบการรับรู้ร่างกายของตนเอง ซึ่งเป็นรากฐานของความตระหนักทางอารมณ์ เมื่อความรู้สึกถูกปิดกั้น ผู้รอดชีวิตจะไม่รู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างเต็มที่ พวกเขาสามารถรู้สึกเหมือนถูกแยกออกจากร่างกายของตัวเอง ประสบการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสียหายต่อเครือข่ายในสมองที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความรู้สึก "ตัวเอง" ซึ่งเป็นสถานะเริ่มต้นของสมองเมื่อไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ในใจเป็นพิเศษ
3. เหตุใดผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญจึงมักมีปัญหาในการจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น?
ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญมักมีปัญหาในการจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ เนื่องจากการบาดเจ็บทำให้สมองส่วนทาลามัส ซึ่งทำหน้าที่เป็นสถานีถ่ายทอด ในการรวบรวมข้อมูลความรู้สึกจากประสาทสัมผัสต่างๆ และบูรณาการข้อมูลเหล่านั้นเข้าเป็นความทรงจำอัตชีวประวัติ หยุดทำงาน
เมื่อทาลามัสหยุดทำงาน ข้อมูลความรู้สึกจะไม่ถูกรวมเข้าเป็นเรื่องราวที่เป็นเรื่องเล่าที่มีจุดเริ่มต้น ตรงกลาง และจุดสิ้นสุด แต่จะถูกจดจำไว้ในรูปแบบของร่องรอยความรู้สึกที่แยกขาดจากกัน เช่น ภาพ เสียง และความรู้สึกทางกาย ซึ่งมักมาพร้อมกับอารมณ์ที่รุนแรง เช่น ความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง
ทาลามัสยังทำหน้าที่เป็นตัวกรองหรือผู้ดูแลประตู ในกระบวนการให้ความสนใจ การมีสมาธิ และการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เมื่อทาลามัสหยุดทำงานในระหว่างการบาดเจ็บ ความสามารถเหล่านี้ก็จะเสียไป ทำให้ผู้รอดชีวิตมีปัญหาในการแยกแยะข้อมูลความรู้สึกที่เกี่ยวข้องออกจากข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการประมวลผลและจัดระเบียบความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
4. เหตุใดความสัมพันธ์ทางสังคมและการมีส่วนร่วมในชุมชนจึงมีความสำคัญต่อการฟื้นฟูจากการบาดเจ็บ?
ความสัมพันธ์ทางสังคมและการมีส่วนร่วมในชุมชนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูจากการบาดเจ็บ เนื่องจากการบาดเจ็บมักทำให้ผู้รอดชีวิตรู้สึกโดดเดี่ยว ตัดขาด และมีปัญหาในการสร้างความไว้วางใจในผู้อื่น ความสามารถในการมีส่วนร่วมทางสังคม เป็นคุณลักษณะพื้นฐานของมนุษย์ที่เชื่อมโยงกับระบบประสาทอัตโนมัติ และความสามารถในการรับรู้ความปลอดภัยในสภาพแวดล้อม
ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญมักมีความผิดปกติในระบบประสาทที่ควบคุมการมีส่วนร่วมทางสังคม ทำให้พวกเขามีปัญหาในการรับรู้สัญญาณความปลอดภัยและมักอยู่ในสภาวะตื่นตัวสูงหรือตัดขาดจากความรู้สึก การขาดการมีส่วนร่วมทางสังคมนี้ยิ่งทำให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยกจากผู้อื่นรุนแรงขึ้น
แหล่งข้อมูลเน้นย้ำว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม เช่น โยคะ การเต้นรำ หรือการแสดงละคร สามารถช่วยสร้างความรู้สึกปลอดภัย การเชื่อมโยง และการเป็นส่วนหนึ่งในชุมชน การได้รับความยอมรับและการสนับสนุนทางสังคมซึ่งมักขาดหายไปในชีวิตของผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้พวกเขาสร้างความรู้สึกปลอดภัยและเชี่ยวชาญในตนเอง ซึ่งจำเป็นต่อการเยียวยา
5. เหตุใดการบาดเจ็บในวัยเด็กจึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและยาวนานต่อการพัฒนา?
การบาดเจ็บในวัยเด็กส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและยาวนานต่อการพัฒนา เนื่องจากสมองของเด็กกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและไวต่อประสบการณ์ต่างๆ อย่างมาก ประสบการณ์ในวัยเด็ก รวมถึงการบาดเจ็บ มีส่วนในการสร้างแผนที่ทางอารมณ์และการรับรู้ของโลกในสมองที่กำลังพัฒนา
สมองของเด็กจะถูกสร้างขึ้นในลักษณะ "ขึ้นอยู่กับการใช้งาน" ซึ่งหมายความว่าวงจรประสาทที่ถูกกระตุ้นซ้ำๆ จะกลายเป็นค่าเริ่มต้น หรือการตอบสนองที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นมากที่สุด หากเด็กเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่น่ากลัว ไม่เป็นที่ต้องการ สมองของพวกเขาก็จะเชี่ยวชาญในการจัดการกับความรู้สึกกลัวและการถูกทอดทิ้ง
การบาดเจ็บในวัยเด็กสามารถขัดขวางพัฒนาการของระบบการมีส่วนร่วมทางสังคม และความสามารถในการควบคุมอารมณ์ ซึ่งเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญอย่างยิ่ง เด็กที่ถูกทารุณกรรมหรือถูกละเลยมักมีปัญหาในการสร้างความไว้วางใจในผู้อื่น เกลียดชังตัวเอง และมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ ซึ่งส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางสังคมและแนวทางการพัฒนาของพวกเขาในอนาคต การศึกษา Adverse Childhood Experiences แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างการบาดเจ็บในวัยเด็กกับปัญหาสุขภาพและพฤติกรรมต่างๆ ในวัยผู้ใหญ่ เช่น การติดสุรา การใช้ยาเสพติด และการตกเป็นเหยื่อความรุนแรง
6. วิธีการรักษาแบบใดบ้างที่เน้นการเชื่อมต่อกับร่างกายและความรู้สึกทางกาย?
แหล่งข้อมูลกล่าวถึงวิธีการรักษาหลายวิธีที่เน้นการเชื่อมต่อกับร่างกายและความรู้สึกทางกาย ซึ่งแตกต่างจากการบำบัดด้วยการพูด แบบดั้งเดิม วิธีการเหล่านี้เชื่อว่าการบาดเจ็บไม่ได้เป็นเพียงประสบการณ์ทางจิตใจ แต่ยังถูกเก็บไว้ในร่างกายและระบบประสาท
โยคะ: โยคะถูกกล่าวถึงว่าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการช่วยให้ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญกลับมาสัมผัสกับร่างกายของตัวเองอีกครั้ง ช่วยในการควบคุมการตื่นตัว และสร้างความรู้สึกปลอดภัยและความเชี่ยวชาญผ่านการเคลื่อนไหวและการหายใจ
Sensorimotor Therapy: การบำบัดนี้เน้นการใช้การเคลื่อนไหวและการรับรู้ทางกายเพื่อช่วยให้ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญจัดการกับผลกระทบของการบาดเจ็บที่อยู่ในร่างกาย
Psychomotor Therapy: การบำบัดนี้ใช้การเคลื่อนไหว การแสดงบทบาทสมมติ และการสร้าง "โครงสร้าง" ทางกายภาพเพื่อช่วยให้ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญแสดงออกและประมวลผลความรู้สึกและประสบการณ์ที่ยากลำบากซึ่งอาจไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยคำพูด
Neurofeedback: แม้จะไม่ใช่การบำบัดด้วยร่างกายโดยตรง แต่ Neurofeedback ช่วยให้ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญเรียนรู้ที่จะควบคุมคลื่นสมองของตนเอง ซึ่งส่งผลต่อการควบคุมตนเองทางสรีรวิทยาและอารมณ์
การให้ความสนใจกับการหายใจและความรู้สึกทางกายอื่นๆ: วิธีการรักษาหลายอย่างส่งเสริมให้ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญให้ความสนใจกับการหายใจและรับรู้ความรู้สึกทางกายในปัจจุบัน ซึ่งเป็นวิธีในการเชื่อมต่อกับร่างกายและสร้าง "เกาะแห่งความปลอดภัย" ภายในตนเอง
วิธีการเหล่านี้ช่วยให้ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญพัฒนาความตระหนักในร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเยียวยา เนื่องจากช่วยให้พวกเขารับรู้ความรู้สึกภายใน ซึ่งเป็นรากฐานของความตระหนักทางอารมณ์
7. แนวคิดเรื่อง "ตัวเองหลายส่วน" หรือ "subpersonalities" ในผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญหมายถึงอะไร?
แนวคิดเรื่อง "ตัวเองหลายส่วน" หรือ "subpersonalities" หมายถึง gag ความเข้าใจที่ว่าจิตใจไม่ได้เป็นหน่วยเดียวที่รวมกัน แต่ประกอบด้วยส่วนย่อยๆ หรือ "ส่วน" ต่างๆ ที่มีประสบการณ์และความทรงจำของตนเอง ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องสื่อสารหรือรับรู้ซึ่งกันและกัน แนวคิดนี้ได้รับการยอมรับในหลายสำนักจิตวิทยาและได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยทางประสาทวิทยาศาสตร์
ในผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีประวัติการบาดเจ็บในวัยเด็กอย่างรุนแรง การบาดเจ็บอาจนำไปสู่การแตกแยกของบุคลิกภาพ ทำให้ส่วนต่างๆ ของตนเองพัฒนาขึ้นเพื่อรับมือกับประสบการณ์ที่ท่วมท้นและไม่สามารถบูรณาการได้ ส่วนเหล่านี้อาจทำหน้าที่ที่แตกต่างกัน เช่น ส่วนที่จัดการกับความเจ็บปวดและความหวาดกลัว ส่วนที่พยายามทำหน้าที่ในชีวิตประจำวัน และส่วนที่เก็บความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญไว้
การบำบัดระบบครอบครัวภายใน เป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้แนวคิดนี้ โดยช่วยให้ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญระบุและทำงานกับส่วนต่างๆ ของตนเอง เพื่อส่งเสริมความเข้าใจ การยอมรับ และการบูรณาการส่วนต่างๆ เหล่านี้ ภายใต้การนำของ "Self" ซึ่งเป็นแก่นแท้ของความเมตตา สติ และความเชื่อมโยงภายใน
8. เหตุใดการแสดงละครและศิลปะรูปแบบอื่นๆ จึงถูกนำมาใช้ในการบำบัดผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ?
การแสดงละครและศิลปะรูปแบบอื่นๆ ถูกนำมาใช้ในการบำบัดผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เนื่องจากมีศักยภาพในการเข้าถึงและประมวลผลประสบการณ์ที่ยากลำบากในลักษณะที่แตกต่างจากการบำบัดด้วยการพูดเพียงอย่างเดียว
การแสดงออกทางอารมณ์ผ่านร่างกาย: การแสดงละคร ศิลปะการเคลื่อนไหว และดนตรีช่วยให้ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญแสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึก และความทรงจำที่อาจถูกเก็บกดหรือยากที่จะสื่อสารด้วยคำพูดผ่านการใช้ร่างกาย เสียง และการเคลื่อนไหว
การสร้างความเชื่อมโยงทางสังคม: กิจกรรมกลุ่ม เช่น การแสดงละครและดนตรีร่วมกัน ส่งเสริมการเชื่อมโยงทางสังคมและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่มักประสบปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์
การพัฒนาความตระหนักในตนเองและการควบคุมตนเอง: การแสดงละครและกิจกรรมศิลปะอื่นๆ ต้องการการให้ความสนใจ การมีสมาธิ และการควบคุมร่างกายและอารมณ์ ซึ่งช่วยให้ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญพัฒนาทักษะเหล่านี้และเพิ่มความสามารถในการควบคุมตนเอง
การประมวลผลความทรงจำและการสร้างเรื่องราว: การแสดงละครสามารถช่วยให้ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญสร้างเรื่องราวขึ้นมาใหม่เกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเองในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและได้รับการสนับสนุน ทำให้พวกเขาสามารถประมวลผลความทรงจำที่ยากลำบากและบูรณาการเข้ากับความเข้าใจของตนเอง
ตัวอย่างของโปรแกรมเช่น Urban Improv และ Shakespeare & Company แสดงให้เห็นว่าการแสดงละครสามารถช่วยให้เยาวชนที่มีความเสี่ยงและทหารผ่านศึกเรียนรู้ที่จะจัดการกับอารมณ์ พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และสร้างความรู้สึกมีอำนาจในตนเองผ่านกระบวนการของการแสดงออก การร่วมมือ และการสำรวจความหมายของคำพูดและประสบการณ์ต่างๆ