Show Notes
- พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheNextConversationArgueLessTalkMore
- พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheNextConversationArgueLessTalkMore
- Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0D57KTPT1?tag=9natree-20
#TheNextConversationArgueLessTalkMore #รีวิวTheNextConversationArgueLessTalkMore #สรุปTheNextConversationArgueLessTalkMore #หนังสือTheNextConversationArgueLessTalkMore
1. อะไรคือแนวคิดหลักที่หนังสือเล่มนี้ต้องการสื่อเกี่ยวกับวิธีการพูดคุย?
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เกี่ยวกับวิชาชีพทางกฎหมายของผู้เขียน แต่เกี่ยวกับวิธีการ "พูดอย่างกล้าหาญ เชิดหน้า ยอมรับความเปราะบางที่มาพร้อมกับการเปิดเผยทั้งหมด" เป้าหมายคือการช่วยให้ผู้อ่าน "พูดในสิ่งที่หมายถึง และหมายถึงในสิ่งที่พูด" โดยเลือก "ความกล้าหาญเหนือความสบาย" แม้ว่าเสียงจะสั่นก็ตาม การพูดอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้หมายความว่าขาดความเห็นอกเห็นใจ แต่เป็นเรื่องของการสื่อสารตัวตนและค่านิยมของตนเองเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกในความสัมพันธ์
2. อะไรคือ "บทสนทนาภายใน" ที่มองไม่เห็น และเราจะรับรู้ได้อย่างไร?
เมื่อมีคนแสดงปฏิกิริยาที่มากเกินไปในสถานการณ์หนึ่ง โดยยกระดับการสนทนาขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงว่ามี "บทสนทนาอีกบทหนึ่งที่เกิดขึ้นในหัวของคนๆ นั้น ซึ่งคุณไม่ได้ถูกเชิญเข้าไป" สิ่งที่ซ่อนอยู่ได้เข้ามาควบคุมการกรองของพวกเขา และกำลังขับเคลื่อนปฏิกิริยาของพวกเขาอยู่ เราเห็นเพียงแค่ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น การรับรู้ถึงสิ่งนี้คือการตระหนักว่ามีบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่ากำลังเกิดขึ้น และกระตุ้นให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับแหล่งที่มาของปฏิกิริยานั้น
3. ทำไมเราถึงได้ยินเสียงของตัวเองแตกต่างจากเสียงที่คนอื่นได้ยินในบันทึก?
เสียงที่เราได้ยินในหัวเมื่อเราพูดนั้นมาจากแรงสั่นสะเทือนผ่านกระดูกของเรา สายเสียงเดินทางขึ้นผ่านกะโหลกศีรษะเข้าไปในหูชั้นในของเรา ทำให้เสียงของเราฟังดูทุ้มและเข้มขึ้น เสียงที่คุณได้ยินเมื่อคุณฟังบันทึกเสียงมาจากคลื่นเสียงผ่านอากาศ ซึ่งทำให้เสียงของคุณฟังดูบางลงหรือ "ผิดไปจากที่คาดหวัง" นี่คือเหตุผลว่าทำไมเมื่อคุณดูวิดีโอหรือฟังบันทึกเสียงของตัวเอง คุณอาจคิดว่า "เดี๋ยวนะ นั่นเสียงฉันเหรอ? ฉันเสียงอย่างนี้เหรอ?" นั่นเป็นเพราะมันไม่ใช่เสียงที่คุณได้ยิน
4. "การหายใจเพื่อการสนทนา" คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร?
"การหายใจเพื่อการสนทนา" คือเทคนิคการหายใจช้าๆ อย่างควบคุม ซึ่งสามารถทำได้ในระหว่างการสนทนาตามปกติ โดยการหายใจเข้าช้าๆ ทางจมูกเป็นเวลาสองวินาที หายใจกลั้นไว้ช่วงสั้นๆ และหายใจออกช้าๆ นานขึ้นกว่าการหายใจเข้า ประโยชน์ของการหายใจทางจมูกคือการทำให้การหายใจช้าลงและลึกขึ้นโดยใช้กะบังลม ซึ่งป้องกันอาการ "จุดระเบิด" หรืออาการทางสรีรวิทยาของความขัดแย้ง การหายใจออกที่ยาวขึ้นยังช่วยให้สงบและผ่อนคลาย ซึ่งได้รับการยืนยันจากการศึกษาเกี่ยวกับ "การถอนหายใจทางสรีรวิทยา" การหายใจเป็นจังหวะยังช่วยให้มีสมาธิและควบคุมตนเองได้มากขึ้น คล้ายคลึงกับการฝึก "การหายใจทางยุทธวิธี" ของหน่วยซีล
5. การใช้ "Quick Scan" ในการสนทนาช่วยได้อย่างไร?
"Quick Scan" เป็นกระบวนการสี่ขั้นตอนที่ช่วยให้คุณมีสมาธิและรับรู้ความรู้สึกภายในตัวเองขณะสนทนา เริ่มด้วยการหายใจเพื่อการสนทนา จากนั้นหลับตาชั่วครู่ขณะหายใจเข้า หายใจออกและรับรู้ถึงความตึงเครียดหรือความไม่สบายในร่างกายของคุณ และสุดท้ายให้ระบุอารมณ์ที่คุณกำลังรู้สึกอยู่ในขณะนั้นด้วยคำเพียงคำเดียว การทำ Quick Scan ช่วยให้คุณตระหนักถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับคุณ เพิ่มความโปร่งใสและซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น และทำให้ความต้องการของคุณชัดเจนขึ้น
6. "Small Talk" คืออะไร และมีบทบาทอย่างไรในการสร้างความมั่นใจ?
"Small Talk" ในบริบทนี้หมายถึงการพูดคุยเล็กๆ กับตัวเอง วลีสั้นๆ ที่เสริมพลังหรือช่วยปรับสมดุลเมื่อรู้สึกไม่มั่นคง ต่างจากคำยืนยันเชิงบวกทั่วไป Small Talk มักจะเชื่อมโยงกับเป้าหมายหรือค่านิยมส่วนตัว และมักจะเริ่มต้นด้วยคำกริยา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การใช้ Small Talk ที่มีความหมายส่วนตัว เช่น วลีที่คนในครอบครัวเคยใช้ สามารถเป็นจุดยึดที่มีพลังในช่วงเวลาแห่งความสงสัยในตนเอง การเลือกใช้คำที่ปฏิบัติต่อตัวเองได้ดีขึ้น ช่วยให้คุณก้าวไปข้างหน้า และสร้างมายด์เซ็ตแห่งความมั่นใจ
7. การหยุดชั่วคราว มีพลังในการสื่อสารอย่างไร?
การหยุดชั่วคราว หรือ Pauses เป็นเครื่องมือที่มีพลังในการสื่อสาร เพราะช่วยให้คุณควบคุมเวลาและความเร็วของการสนทนาได้ การหยุดชั่วคราวสั้นๆ ก่อนตอบคำถาม ทำให้คุณดูหนักแน่นและมั่นคงมากขึ้น แสดงว่าคุณได้พิจารณาคำตอบแล้ว ส่วนการหยุดชั่วคราวที่ยาวขึ้น เป็นเหมือนกระจกสะท้อน ไม่เพียงแต่ให้เวลาคุณทบทวนคำตอบ แต่ยังบังคับให้อีกฝ่ายมองย้อนกลับไปที่คำพูดของตัวเองด้วย การหยุดชั่วคราวที่ยาวนานมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งกับคนที่พูดไม่จริง เพราะความเงียบทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจและมักจะเปิดเผยความจริงออกมาเอง การใช้ Pauses อย่างมีกลยุทธ์แสดงถึงความตั้งใจ ไม่ใช่ความลังเล และเป็นสัญญาณของความมั่นใจและการควบคุมตนเอง
8. วิธีการสร้างขอบเขต ที่มีประสิทธิภาพคืออะไร?
การสร้างขอบเขตที่มีประสิทธิภาพเป็นมากกว่าการกำหนดข้อจำกัด แต่เป็นวิธีการสื่อสารข้อจำกัดเหล่านั้นอย่างหนักแน่น เริ่มต้นด้วยการระบุขอบเขตของคุณอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา โดยใช้ภาษาที่เป็นการยืนยันตนเอง เช่น "ฉันจะไม่ยอมรับสิ่งนั้น" หรือ "ฉันต้องการความชัดเจนในเรื่องนี้" เมื่อคุณกำหนดขอบเขตแล้ว ให้เป็นจุดหยุด อย่าพยายามอธิบายหรือหาเหตุผล หากอีกฝ่ายยังคงละเมิดขอบเขต ให้เพิ่มผลกระทบหรือผลลัพธ์ที่จะตามมาหากพวกเขายังคงทำเช่นนั้น โดยใช้ประโยคแบบมีเงื่อนไข เช่น "ถ้าคุณยังคง...ฉันจะ..." การสร้างขอบเขตหมายถึงการเลือกว่าคุณจะยอมรับพฤติกรรมใดจากผู้อื่น และการรักษาขอบเขตนี้คือการสอนผู้อื่นให้ "ปฏิบัติงานกับคุณอย่างไร" โดยไม่ใช่การให้ "รีโมทคอนโทรล" ในการควบคุมคุณ การสร้างขอบเขตที่อาจสร้างความไม่สบายใจให้กับผู้อื่นไม่ใช่สัญญาณว่าขอบเขตนั้นผิด แต่เป็นสัญญาณว่ามันกำลังทำงานอยู่