Show Notes
- พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/StartwithWhy
- พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/StartwithWhy
- Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0F6X8P3L5?tag=9natree-20
#StartwithWhy #รีวิวStartwithWhy #สรุปStartwithWhy #หนังสือStartwithWhy
1.องค์กรที่เริ่มต้นด้วย 'ทำไม' แตกต่างจากองค์กรอื่นอย่างไร?
องค์กรที่เริ่มต้นด้วย 'ทำไม' ไม่เพียงแต่บอกว่าพวกเขาทำอะไร หรือทำอย่างไร แต่พวกเขาสื่อสารจากภายในสู่ภายนอก โดยเริ่มจากวัตถุประสงค์, สาเหตุ หรือความเชื่อที่เป็นแรงผลักดันหลัก ซึ่งนี่คือสิ่งที่แตกต่างจากองค์กรส่วนใหญ่ที่มักจะสื่อสารจากภายนอกสู่ภายใน การเริ่มต้นด้วย 'ทำไม' นี้ช่วยให้องค์กรสร้างแรงบันดาลใจ สร้างความภักดี และดึงดูดผู้คนที่เชื่อในสิ่งเดียวกับพวกเขา ตัวอย่างเช่น Apple ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานลูกค้าผู้ภักดีอย่างมาก ไม่ใช่เพราะพวกเขาแค่ผลิตคอมพิวเตอร์คุณภาพดี แต่เพราะพวกเขาเชื่อในการท้าทายสภาพที่เป็นอยู่ และผลิตภัณฑ์ของพวกเขา เป็นเพียงข้อพิสูจน์ถึงความเชื่อนั้น
2.วงกลมทองคำ คืออะไร และมีความเกี่ยวข้องกับชีววิทยาของมนุษย์อย่างไร?
วงกลมทองคำประกอบด้วยสามชั้น ได้แก่ 'ทำไม' อยู่ตรงกลาง 'ทำอย่างไร' อยู่ชั้นกลาง และ 'อะไร' อยู่ชั้นนอกสุด การสื่อสารแบบ "เริ่มต้นด้วย ทำไม" จะเริ่มจากวงกลมชั้นในสุดออกไปสู่ชั้นนอกสุด ซึ่งสอดคล้องกับโครงสร้างสมองของมนุษย์อย่างแม่นยำ สมองส่วนนีโอคอร์เทกซ์ ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ใหม่ที่สุด สอดคล้องกับระดับ 'อะไร' มีหน้าที่ในการคิดอย่างมีเหตุผล วิเคราะห์ และภาษา ในขณะที่สมองส่วนลิมบิก สองส่วนตรงกลาง สอดคล้องกับระดับ 'ทำอย่างไร' และ 'ทำไม' มีหน้าที่ในการควบคุมความรู้สึก พฤติกรรม และการตัดสินใจ การตัดสินใจที่มาจาก "สัญชาตญาณ" หรือ "ความรู้สึก" นั้นเกิดขึ้นในสมองส่วนลิมบิกนี้ การสื่อสารที่เริ่มต้นจาก 'ทำไม' จึงสามารถเข้าถึงส่วนของสมองที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมและความรู้สึกได้โดยตรง ซึ่งแตกต่างจากการสื่อสารที่เน้นเพียงแค่คุณสมบัติและประโยชน์ ซึ่งจะเข้าถึงได้เพียงแค่สมองส่วนนีโอคอร์เทกซ์เท่านั้น
3.ทำไมการใช้กลยุทธ์ "แครอทและไม้เรียว" หรือการบงการแบบอื่นๆ จึงไม่สามารถสร้างความภักดีได้?
"แครอทและไม้เรียว" เช่น การลดราคา โปรโมชั่น ความกลัว หรือแรงบันดาลใจเทียม เป็นการบงการพฤติกรรมในระยะสั้นเพื่อขับเคลื่อนการทำธุรกรรม ไม่ใช่การสร้างความสัมพันธ์หรือความภักดี การให้รางวัลหรือการใช้ความกลัวอาจได้ผลดีในสถานการณ์ที่ต้องการให้เกิดพฤติกรรมเพียงครั้งเดียวหรือไม่บ่อยนัก เช่น การให้รางวัลนำจับ หรือการลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขาย แต่กลยุทธ์เหล่านี้มีต้นทุนสูงและไม่ได้สร้างความผูกพันที่ยั่งยืน เมื่อการบงการสิ้นสุดลง พฤติกรรมที่ถูกกระตุ้นก็จะหายไป ลูกค้าที่ถูกดึงดูดด้วยการบงการมักจะไม่มีความภักดีต่อแบรนด์ แต่จะย้ายไปหาข้อเสนอที่ดีกว่าเสมอ ในทางกลับกัน ความภักดีที่แท้จริงมาจากการที่ผู้คนเชื่อในสิ่งเดียวกับองค์กร ซึ่งทำให้พวกเขายินดีที่จะสนับสนุนแม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
4.ความภักดีของลูกค้ามาจากไหน และมีความสำคัญอย่างไรต่อความสำเร็จในระยะยาว?
ความภักดีของลูกค้าที่แท้จริงไม่ได้มาจากการซื้อ 'อะไร' ที่องค์กรทำ แต่มาจากการซื้อ 'ทำไม' ที่องค์กรทำ เมื่อลูกค้าเชื่อในวัตถุประสงค์, สาเหตุ หรือความเชื่อขององค์กร พวกเขาก็จะรู้สึกเชื่อมโยงและมีความผูกพันทางอารมณ์ ความภักดีนี้เกิดจากสมองส่วนลิมบิก ซึ่งเป็นส่วนเดียวกับที่ควบคุมความรู้สึกและการตัดสินใจ "จากสัญชาตญาณ" ลูกค้าที่ภักดีจะไม่ถูกล่อลวงได้ง่ายๆ ด้วยข้อเสนอหรือโปรโมชั่นจากคู่แข่ง และมักจะเต็มใจที่จะจ่ายราคาพรีเมียมสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สะท้อนความเชื่อของพวกเขา ความภักดีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดและความสำเร็จในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่ดี ดังที่เห็นได้จากกรณีของ Southwest Airlines ที่ลูกค้าผู้ภักดีส่งเช็คไปช่วยสนับสนุนบริษัทหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน
5.ทำไมบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงบางแห่งจึงประสบปัญหาเมื่อผู้นำผู้ก่อตั้งจากไป?
บริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงภายใต้การนำของผู้ก่อตั้งมักจะมีผู้นำที่เป็นภาพสะท้อนของ 'ทำไม' ขององค์กรนั้นๆ พวกเขาเป็นผู้ที่ถ่ายทอดความเชื่อและสร้างแรงบันดาลใจให้กับทั้งพนักงานและลูกค้า อย่างไรก็ตาม หาก 'ทำไม' นี้ไม่ได้ถูกปลูกฝังและถ่ายทอดลงไปในวัฒนธรรมและโครงสร้างขององค์กรอย่างเหมาะสม เมื่อผู้นำผู้ก่อตั้งจากไป 'ทำไม' ขององค์กรก็จะเริ่ม "ไม่ชัดเจน" หรือหายไป บริษัทก็จะกลับไปเน้นที่การทำ 'อะไร' ซึ่งก็คือผลิตภัณฑ์และผลกำไรเป็นหลัก ทำให้สูญเสียความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจและความภักดี ซึ่งเป็นรากฐานที่แท้จริงของความสำเร็จในอดีต ตัวอย่างเช่น Microsoft หลังจากการถอนตัวของ Bill Gates หรือ Starbucks หลังจากการลาออกของ Howard Schultz แสดงให้เห็นว่าแม้บริษัทจะใหญ่และมีชื่อเสียงเพียงใด ก็ยังเสี่ยงที่จะสูญเสียรากฐานแห่งความสำเร็จได้หาก 'ทำไม' ไม่ได้รับการส่งต่ออย่างมีประสิทธิภาพ
6.การทดสอบคื่นฉ่าย คืออะไร และช่วยในการตัดสินใจขององค์กรได้อย่างไร?
การทดสอบคื่นฉ่าย เป็นการเปรียบเทียบที่ง่ายๆ เพื่อช่วยให้องค์กรตัดสินใจได้ว่า 'อะไร' และ 'ทำอย่างไร' ที่สอดคล้องกับ 'ทำไม' ของตนเอง ผู้คนมากมายอาจให้คำแนะนำที่ดีและประสบความสำเร็จ แต่ไม่ใช่ทุกคำแนะนำจะ "ดีสำหรับคุณ" หากคุณมี 'ทำไม' ที่ชัดเจน การตัดสินใจของคุณจะง่ายขึ้นมาก เพราะคุณจะเลือกเฉพาะสิ่งที่สอดคล้องกับ 'ทำไม' ของคุณเท่านั้น ในบริบทขององค์กร 'ทำไม' ที่ชัดเจนจะเป็นตัวกรองสำหรับการตัดสินใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน การเลือกพันธมิตร กลยุทธ์ หรือกลยุทธ์ย่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์กรทำต้องผ่านการทดสอบคื่นฉ่าย นั่นคือ ต้องสอดคล้องและเป็นเครื่องพิสูจน์ 'ทำไม' ขององค์กร การตัดสินใจที่ผ่านการทดสอบคื่นฉ่ายจะทำให้องค์กรแสดงออกถึงความเชื่อของตนเองได้อย่างชัดเจน และดึงดูดผู้คนที่เชื่อในสิ่งเดียวกันเข้ามาหา
7.ความแตกต่างระหว่าง "ความสำเร็จ" และ "ความสำเร็จตามเป้าหมาย" คืออะไร?
ความสำเร็จตามเป้าหมาย คือสิ่งที่จับต้องได้ เป็นผลลัพธ์ที่วัดได้ เช่น การทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย การมีรายได้สูง หรือการมีทรัพย์สินจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้เป็นเสมือน "เรือยอชท์" ในคำกล่าวที่ว่า "เงินซื้อความสุขไม่ได้ แต่จ่ายค่าเรือยอชท์ที่จอดเทียบข้างๆ ความสุขได้" ในทางกลับกัน ความสำเร็จ เป็นความรู้สึก เป็นสภาวะทางอารมณ์ เป็นความรู้สึกเติมเต็มหรือบรรลุในระดับที่ลึกซึ้งกว่า การบรรลุเป้าหมาย ไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จ เสมอไป บางคนอาจบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่มากมาย แต่ก็ยังไม่รู้สึกเติมเต็ม เพราะพวกเขาอาจไล่ตามเพียงแค่ 'อะไร' โดยลืม 'ทำไม' ที่เป็นแรงผลักดันที่แท้จริง ความสำเร็จที่แท้จริงมาจากการดำเนินชีวิตและทำงานด้วย 'ทำไม' ที่ชัดเจน โดยให้การบรรลุเป้าหมายเป็นเพียงหลักไมล์ที่บ่งบอกว่าเรากำลังเดินทางไปในทิศทางที่ถูกต้อง
8.ทำไมความเชื่อใจ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในธุรกิจและชีวิตส่วนตัว?
ความเชื่อใจเป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตส่วนตัวหรือในธุรกิจ เรามักจะเชื่อใจคนที่เรารู้จักมากกว่าคนแปลกหน้า เชื่อใจคำแนะนำจากเพื่อนมากกว่าคำโฆษณา ความรู้สึกเชื่อใจเกิดขึ้นในสมองส่วนลิมบิก ซึ่งเป็นส่วนเดียวกับที่ควบคุม 'ทำไม' การสร้างความเชื่อใจในธุรกิจไม่ได้มาจากการบอกว่าคุณดีแค่ไหน แต่มาจากการแสดงให้เห็นว่าคุณเชื่อในสิ่งใด และพิสูจน์ด้วยการกระทำของคุณ เมื่อองค์กรและลูกค้า/พนักงานมีค่านิยมและความเชื่อร่วมกัน ความเชื่อใจก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น ความเชื่อใจนี้ช่วยลดความเสี่ยง ความเครียด และความไม่แน่นอนในการตัดสินใจ ทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยที่จะทำธุรกิจหรือทำงานร่วมกับคุณ นอกจากนี้ ความเชื่อใจยังสามารถถ่ายทอดได้ แต่ต้องมาจากองค์กรหรือบุคคลที่มี 'ทำไม' ที่ชัดเจนและสอดคล้องกับค่านิยมของผู้ที่ได้รับความเชื่อใจ