[รีวิว] How to Talk to Anyone (Leil Lowndes) สรุปหนังสือ

[รีวิว] How to Talk to Anyone (Leil Lowndes) สรุปหนังสือ
9Natree Thailand
[รีวิว] How to Talk to Anyone (Leil Lowndes) สรุปหนังสือ

Jun 04 2025 | 00:07:58

/
Episode June 04, 2025 00:07:58

Show Notes

ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ How to Talk to Anyone เขียนโดย Leil Lowndes

- พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/HowtoTalktoAnyone
- พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/HowtoTalktoAnyone
- Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B00BAJ2MYM?tag=9natree-20

#HowtoTalktoAnyone #รีวิวHowtoTalktoAnyone #สรุปHowtoTalktoAnyone #หนังสือHowtoTalktoAnyone

1. การสร้างความประทับใจแรกพบอย่างมีประสิทธิภาพ มีเทคนิคอะไรบ้าง?
การสร้างความประทับใจแรกพบมีพลังมหาศาล และคุณมีเวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการแสดงความเป็น "ใครบางคน" ที่น่าสนใจ แหล่งข้อมูลเน้นย้ำถึงเทคนิคสำคัญหลายประการ:
The Flooding Smile: แทนที่จะยิ้มทันทีที่เห็นหน้าใคร ให้มองใบหน้าของอีกฝ่ายเป็นเวลาหนึ่งวินาที หยุดนิ่ง ซึมซับบุคลิกของพวกเขา จากนั้นให้รอยยิ้มที่อบอุ่นและตอบรับปรากฏบนใบหน้าและแผ่ไปถึงดวงตา การหน่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีนี้จะทำให้ผู้รับรู้สึกว่ารอยยิ้มของคุณจริงใจและมีให้สำหรับพวกเขาเท่านั้น
Sticky Eyes: รักษาการสบตาให้นานขึ้นเล็กน้อยกว่าปกติเมื่อพูดคุยกับผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพศตรงข้ามหรือผู้หญิงที่พูดคุยกับผู้หญิงด้วยกัน สำหรับผู้ชายที่พูดคุยกับผู้ชาย ควรลดระดับความ "Sticky" ลงเล็กน้อยเมื่อพูดคุยเรื่องส่วนตัว เพื่อไม่ให้รู้สึกคุกคามหรือเข้าใจผิด การสบตาที่นานขึ้นเล็กน้อยนี้แสดงให้เห็นถึงความสนใจและความเอาใจใส่
Epoxy Eyes: เทคนิคนี้ใช้ได้ผลดีที่สุดเมื่อมีคนสามคนขึ้นไปเกี่ยวข้อง แทนที่จะมองคนที่กำลังพูด ให้จดจ่อที่ผู้ฟัง เทคนิคนี้จะทำให้เป้าหมายรู้สึกสับสนเล็กน้อยและสงสัยว่า "ทำไมคนนี้ถึงมองฉันแทนที่จะมองคนพูด?" ซึ่งสื่อให้เห็นว่าคุณสนใจปฏิกิริยาของพวกเขาอย่างยิ่ง สามารถใช้เพื่อประเมินผู้ฟังในสถานการณ์ทางธุรกิจ หรือในสถานการณ์โรแมนติก จะสื่อว่า "ฉันละสายตาจากคุณไม่ได้" หรือ "ฉันมีแต่คุณในสายตา" อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังในการใช้ Epoxy Eyes ในที่สาธารณะกับคนแปลกหน้า เนื่องจากอาจถูกมองว่าก้าวร้าวได้
Hang by Your Teeth: การรักษาสมดุลร่างกายให้ตั้งตรงราวกับว่ามีเชือกดึงศีรษะของคุณขึ้นไปด้านบน โดยให้กระดูกสันหลังตั้งตรง แต่ยังคงผ่อนคลาย สะท้อนความมั่นใจและความสำคัญ การฝึกฝนท่าทางนี้อย่างสม่ำเสมอจะกลายเป็นนิสัยที่ดี
The Big-Baby Pivot: เมื่อทักทายใครสักคน ให้หมุนตัวให้เต็มตัวหันหน้าเข้าหาพวกเขา ราวกับเด็กทารกที่หมุนทั้งตัวเพื่อสบตาแม่ นี่แสดงถึงความสนใจอย่างเต็มที่และทำให้พวกเขารู้สึกเป็นคนสำคัญ
Watch the Scene Before You Make the Scene: ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่สถานการณ์ทางสังคม ให้จินตนาการตัวเองในแบบที่คุณอยากเป็น มองเห็นตัวเองเดินด้วยท่าทางที่ดี ยิ้มด้วย Flooding Smile และสบตาด้วย Sticky Eyes การซ้อมในใจเช่นนี้จะช่วยให้คุณแสดงออกได้อย่างเป็นธรรมชาติและมั่นใจ

2. เหตุใดรอยยิ้มแบบ "ทันที" จึงไม่ถือว่ามีประสิทธิภาพเสมอไป และควรปรับปรุงอย่างไร?
แหล่งข้อมูลชี้ให้เห็นว่ารอยยิ้มแบบ "ทันที" หรือการยิ้มทันทีที่เห็นหน้าใครก็ตามนั้น "ไม่มีน้ำหนัก" กับคนสมัยนี้ที่ซับซ้อนกว่าในอดีต การยิ้มทันทีอาจทำให้ดูเหมือนคุณยิ้มให้ใครก็ได้ที่เข้ามาในสายตา ทำให้รอยยิ้มนั้นขาดความจริงใจและไม่มีความพิเศษ
เพื่อทำให้รอยยิ้มมีพลังและผลกระทบมากขึ้น แหล่งข้อมูลแนะนำเทคนิค The Flooding Smile ดังที่กล่าวไว้ในคำถามที่ 1:
หยุดชั่วครู่: แทนที่จะยิ้มทันที ให้ใช้เวลาหนึ่งวินาทีมองเข้าไปในใบหน้าของอีกฝ่าย
ซึมซับบุคลิก: พยายามเข้าใจตัวตนของพวกเขาเล็กน้อย
ปล่อยให้รอยยิ้มแผ่ซ่าน: จากนั้นค่อยๆ ปล่อยให้รอยยิ้มที่อบอุ่นและจริงใจแผ่ไปทั่วใบหน้าและเข้าถึงดวงตาของคุณ การหน่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีนี้จะสื่อสารว่ารอยยิ้มของคุณนั้น "สำหรับพวกเขาเท่านั้น" และเป็นรอยยิ้มที่แท้จริง ทำให้ผู้รับรู้สึกพิเศษและได้รับผลกระทบจากความจริงใจ
นอกจากนี้ แหล่งข้อมูลยังเตือนให้ ทบทวนรอยยิ้มของคุณ เอง โดยลองฝึกยิ้มหน้ากระจกเพื่อค้นพบความแตกต่างที่ละเอียดอ่อนของรอยยิ้มที่คุณมี และเข้าใจผลกระทบที่แตกต่างกันของรอยยิ้มเหล่านั้น

3. การใช้สายตาในการสื่อสารมีเทคนิคอะไรบ้าง และแต่ละเทคนิคมีความแตกต่างกันอย่างไร?
การใช้สายตาเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทรงพลัง และแหล่งข้อมูลได้นำเสนอเทคนิคที่หลากหลาย:
Sticky Eyes: เป็นการรักษาการสบตาให้ยาวนานกว่าปกติเล็กน้อย เมื่อพูดคุยกับบุคคลหนึ่งๆ เพื่อแสดงความสนใจและความผูกพัน เทคนิคนี้มีประสิทธิภาพในการทำให้ผู้รับรู้สึกถึงความเอาใจใส่และอาจกระตุ้นความรู้สึกชื่นชมหรือความสนิทสนมได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ชายที่พูดคุยกับผู้ชาย ควรลดความเข้มข้นลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องส่วนตัว เพื่อไม่ให้ดูคุกคาม
Epoxy Eyes: เทคนิคนี้มีความเข้มข้นกว่า Sticky Eyes โดยคุณจะจดจ่ออยู่กับการมองเป้าหมายของคุณ แม้ว่าจะมีคนอื่นกำลังพูดอยู่ก็ตาม สิ่งนี้ทำให้เป้าหมายรู้สึกว่าคุณสนใจปฏิกิริยาของพวกเขาเป็นพิเศษและคุณกำลัง "อ่าน" พวกเขา ซึ่งมีประโยชน์ในสถานการณ์ที่ต้องการประเมินผู้ฟัง หรือในสถานการณ์โรแมนติกที่ต้องการสื่อสารความหลงใหล แต่ต้องระมัดระวังในการใช้กับคนแปลกหน้าหรือไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกดึงดูดหรือไม่ เนื่องจากอาจถูกมองว่าก้าวร้าวหรือน่ารังเกียจได้
Epoxy Eyes : เป็นการประนีประนอมระหว่างการจ้องมองแบบ Epoxy Eyes เต็มรูปแบบกับการมองผู้พูด โดยคุณจะมองผู้พูดเป็นหลัก แต่ให้เหลือบสายตาไปที่เป้าหมายทุกครั้งที่ผู้พูดจบบทสนทนาหนึ่งๆ วิธีนี้ยังคงทำให้เป้าหมายรู้สึกว่าคุณสนใจปฏิกิริยาของพวกเขา แต่ลดความเข้มข้นลง ไม่ให้รู้สึกถูกจ้องมากเกินไป
โดยรวมแล้ว Sticky Eyes เป็นเทคนิคพื้นฐานสำหรับการสร้างความผูกพันและแสดงความสนใจ ในขณะที่ Epoxy Eyes เป็นเทคนิคที่ทรงพลังกว่าสำหรับการประเมินปฏิกิริยาหรือสร้างความโรแมนติก แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและพิจารณาสถานการณ์และผู้ที่เกี่ยวข้อง

4. การสนทนาขนาดเล็ก สำคัญอย่างไร และมีวิธีเริ่มต้นอย่างไร?
แหล่งข้อมูลระบุว่า "Small Talk" แม้จะฟังดูไม่น่าตื่นเต้น แต่เป็น ก้าวแรกที่สำคัญอย่างยิ่ง ในการเป็นนักสนทนาที่มีพลังและผู้สื่อสารที่แข็งขัน เป้าหมายของการสนทนาไม่ใช่เพียงการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Small Talk แต่คือการใช้มันเป็นบันไดไปสู่การสื่อสารที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากขึ้น Small Talk ช่วยให้ "ลิ้นของคุณเป็นพรมเช็ดเท้าที่ปั๊มคำว่า 'ยินดีต้อนรับ' หรือ 'ไปให้พ้น!'"
วิธีเริ่มต้น Small Talk ที่มีประสิทธิภาพ:
เตรียม "Whatzit" ของคุณ: Whatzit คือสิ่งของที่ผิดปกติที่คุณสวมใส่หรือพกพา เช่น เข็มกลัดที่ไม่เหมือนใคร กระเป๋าที่น่าสนใจ หรือหมวกตลกๆ สิ่งเหล่านี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนและกระตุ้นให้พวกเขาเข้ามาถามว่า "นั่นอะไร?" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสนทนาที่ง่ายและเป็นธรรมชาติ
เป็น "Whatzit Seeker": เช่นเดียวกับการมี Whatzit ของตัวเอง คุณควรฝึกสังเกต Whatzit ของคนอื่นด้วย สิ่งนี้จะช่วยให้คุณมีข้อแก้ตัวที่เป็นธรรมชาติในการเริ่มการสนทนา เช่น "นั่นเป็นนาฬิกาที่น่าสนใจ" หรือ "หมวกของคุณสวยมาก"
ใช้เทคนิค "Eavesdrop In": ในงานปาร์ตี้หรือการรวมตัวกัน ให้ยืนใกล้กลุ่มคนที่คุณต้องการเข้าร่วม จากนั้นรอให้มีคำหรือวลีที่คุณสามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่บทสนทนา เช่น "ขอโทษนะคะ/ครับ ฉัน/ผมบังเอิญได้ยินที่คุณพูดถึงเบอร์มิวดา พอดีฉัน/ผมกำลังจะไปเดือนหน้า มีคำแนะนำอะไรไหมคะ/ครับ?" เทคนิคนี้ใช้ "ความบังเอิญ" เพื่อเปิดบทสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติ
เตรียม "Never the Naked City": แทนที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับพื้นเพของคุณด้วยข้อมูลที่แห้งแล้ง ให้เตรียมคำตอบที่เปิดโอกาสให้เกิดการสนทนาที่กว้างขึ้น เช่น ถ้ามีคนถามว่าคุณมาจากไหน แทนที่จะตอบแค่ "วอชิงตัน ดี.ซี." ลองเสริมว่า "วอชิงตัน ดี.ซี. คุณรู้ไหมว่ามันถูกออกแบบโดยสถาปนิกเมืองคนเดียวกับที่ออกแบบปารีส" สิ่งนี้จะนำไปสู่การสนทนาเกี่ยวกับศิลปะการวางผังเมือง, ปารีส, การเดินทางในยุโรป ฯลฯ
Small Talk คือการปูทางไปสู่การเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งขึ้น และการเตรียมตัวล่วงหน้าด้วยเทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ

5. การใช้ภาษาและคำพูดอย่างไรให้มีเสน่ห์และฉลาดขึ้น?
การใช้ภาษาและคำพูดอย่างมีเสน่ห์และฉลาดเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความประทับใจที่ดี:
"Comm-YOU-nication": เริ่มต้นประโยคที่เหมาะสมด้วยคำว่า "คุณ" สิ่งนี้จะดึงความสนใจของผู้ฟังได้ทันทีและได้รับการตอบรับที่เป็นบวกมากขึ้น เพราะมันกระตุ้นความภาคภูมิใจของผู้ฟังและช่วยให้พวกเขาไม่ต้องแปลความหมายเป็น "ฉัน" แหล่งข้อมูลเปรียบเทียบว่าการใช้ "I" และ "me" มากเกินไปเป็นสัญญาณของคนที่มีปัญหาสุขภาพจิต และผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่จะใช้ "You" มากกว่า "I" ในการสนทนา
ใช้คำศัพท์ที่หลากหลาย : หลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์พื้นฐานทั่วไปซ้ำๆ เช่น "ฉลาด" , "ดี" , "สวย" , หรือ "ดี" ให้ใช้พจนานุกรมคำพ้องความหมาย เพื่อค้นหาคำที่มีความหมายคล้ายกันแต่มีความหมายและสีสันที่หลากหลายและเหมาะสมกับบุคลิกของคุณ เช่น แทนที่จะบอกว่า "คุณฉลาดมาก" ลองใช้ "คุณช่างเฉลียวฉลาด" , "คุณช่างมีไหวพริบ" , "คุณช่างหลักแหลม" , หรือ "คุณช่างหลักแหลม" การใช้คำศัพท์ที่หลากหลายจะทำให้คุณดูมีความคิดสร้างสรรค์และฉลาดขึ้น
"You Are Your Customer's Buying Experience": หากคุณกำลัง "ขาย" อะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ แนวคิด หรือแม้กระทั่งตัวคุณเอง ให้ปรับบุคลิกและการนำเสนอให้เข้ากับสถานการณ์และผู้ฟัง การใช้คำศัพท์ที่ "เข้ากันได้" กับผู้ฟัง เป็นสิ่งสำคัญ เช่น ถ้าคุณกำลังขายรถให้แม่ที่มีลูกวัยหัดเดินซึ่งกังวลเรื่องความปลอดภัย ให้ใช้คำว่า "เด็กวัยหัดเดิน" แทนที่จะเป็น "เด็ก" หรือ "ทารก" เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่าคุณเข้าใจและเป็นพวกเดียวกัน
ระมัดระวังการใช้ "Umm" และ "Uh Huh": แทนที่จะใช้เสียงตอบรับเหล่านี้อย่างไม่ตั้งใจ ให้เปลี่ยนเป็นการแสดงความเข้าใจอย่างเต็มที่ด้วยประโยคสั้นๆ ที่แสดงความเห็นอกเห็นใจ เช่น "ฉันเข้าใจว่าคุณตัดสินใจทำอย่างนั้น" หรือ "นั่นน่าตื่นเต้นจริงๆ" สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าคุณกำลังฟังอย่างตั้งใจและเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย
ปรับการสื่อสารตามประสาทสัมผัสหลักของผู้อื่น: สังเกตว่าผู้คนใช้ภาษาที่เกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัสใดบ่อยที่สุด แล้วปรับคำพูดของคุณให้สอดคล้องกัน เช่น สำหรับคนที่เน้นการมองเห็น แทนที่จะบอกว่า "ฉันได้ยินว่าคุณหมายถึงอะไร" ให้พูดว่า "ฉันเห็นว่าคุณหมายถึงอะไร" สำหรับคนเน้นการได้ยิน ให้พูดว่า "ฉันได้ยินคุณ" และสำหรับคนเน้นความรู้สึก ให้พูดว่า "ฉันรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน" การทำเช่นนี้จะทำให้พวกเขารู้สึกว่าคุณเข้าใจพวกเขาอย่างแท้จริง
สร้าง "We" แทน "You vs. Me": ใช้คำสรรพนาม "เรา" หรือ "พวกเรา" ในการสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่อาจส่งผลกระทบต่อทั้งสองฝ่าย สิ่งนี้จะสร้างความรู้สึกของการรวมกลุ่ม ความสนิทสนม และความเป็นเพื่อนร่วมทางตั้งแต่แรกเริ่ม

6. การให้คำชมเชยอย่างมีประสิทธิภาพ ควรทำอย่างไร?
การให้คำชมเชยอย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การพูดสิ่งดีๆ แต่เป็นการสร้างผลกระทบที่ลึกซึ้ง:
"Killer Compliment": คำชมเชยที่ทรงพลังที่สุดคือการชมเชยคุณสมบัติทางกายภาพหรือบุคลิกภาพที่โดดเด่นและแท้จริงของอีกฝ่าย และเป็นสิ่งที่อาจไม่ได้สังเกตเห็นได้ง่ายหรือไม่ใช่คำชมที่ได้รับบ่อยๆ ตัวอย่างเช่น การชมว่า "คุณมีมือที่สวยงาม" หรือ "ดวงตาสีน้ำตาลของคุณดูมีพลัง" คำชมประเภทนี้สร้างความสุขและทำให้ผู้รับรู้สึกพิเศษอย่างมาก
"Little Strokes": เป็นคำชมเชยสั้นๆ ที่คุณสอดแทรกเข้าไปในการสนทนาทั่วไป เช่น "งานดีมากเลยจอห์น!" "ทำได้ดีมากเคียวโตะ!" หรือ "ไม่เลวเลยลีล!" การใช้ Little Strokes อย่างสม่ำเสมอในที่ทำงานหรือในชีวิตประจำวันเป็นการแสดงความชื่นชมและให้กำลังใจผู้อื่นในความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ
"The Tombstone Game": นี่คือเทคนิคการให้คำชมเชยที่ลึกซึ้งและมีผลกระทบอย่างมาก โดยคุณจะถามคนที่คุณสนิทว่าพวกเขาต้องการให้เขียนอะไรบนป้ายหลุมศพของพวกเขา รับฟังอย่างตั้งใจและจดจำรายละเอียดนั้นไว้ หลังจากผ่านไปอย่างน้อยสามสัปดาห์ ให้นำข้อมูลนั้นกลับมาชมเชยพวกเขาในรูปแบบของคำชม ตัวอย่างเช่น ถ้าเพื่อนร่วมงานของคุณบอกว่าเขาอยากให้คนจดจำว่าเขาเป็น "คนรักษาสัญญา" คุณก็พูดว่า "โจ ที่ฉันชื่นชมการทำธุรกิจกับคุณมากที่สุดก็เพราะคุณเป็นคนรักษาสัญญา" คำชมนี้จะเข้าถึงจิตใจของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง เพราะมันไปกระทบกับสิ่งที่พวกเขาให้คุณค่าในตัวเองมากที่สุด
สิ่งสำคัญคือการให้คำชมเชยที่จริงใจและเฉพาะเจาะจง หลีกเลี่ยงคำชมที่ซ้ำซากหรือทั่วไป และให้ความสำคัญกับการสังเกตและจดจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตของผู้อื่น เพื่อให้คำชมของคุณมีความหมายและแสดงถึงความเอาใจใส่

7. การเข้าใจและตอบสนองต่อภาษากายของผู้อื่นมีความสำคัญอย่างไรในการสื่อสาร?
การเข้าใจและตอบสนองต่อภาษากายของผู้อื่นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะร่างกายเป็น "สถานีวิทยุกระจายเสียงตลอด 24 ชั่วโมง" ที่สื่อสารความรู้สึกที่แท้จริงของบุคคลนั้น แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดอะไรออกมาก็ตาม แหล่งข้อมูลเน้นย้ำถึง "Eyeball Selling" ซึ่งเป็นการสังเกตปฏิกิริยาของลูกค้าหรือเพื่อนผ่านภาษากายและปรับการสื่อสารตามนั้น:
ภาษากายเป็นตัวบ่งชี้ความรู้สึก: คนเราไม่สามารถ "ไม่สื่อสาร" ได้ แม้จะพยายามทำสีหน้าเฉยเมยก็ตาม การสังเกตการขยับตัว การเกร็งตัว การกระตุก การบิดตัว การเคลื่อนไหวของศีรษะ ท่าทางมือ การหมุนตัว และการแสดงออกทางสีหน้า สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเปิดรับ สนใจ เบื่อหน่าย หรือไม่เห็นด้วย
"The body must be open before the mind can follow": หากลูกค้าหรือผู้ฟังของคุณมีท่าทางที่ปิด เช่น กอดอก ให้พยายามหาทางให้พวกเขาเปิดท่าทางเหล่านั้น เช่น ยื่นสิ่งของให้พวกเขาถือ เพื่อให้พวกเขาต้องคลายแขนออก การเปิดท่าทางทางกายภาพจะช่วยเปิดใจของพวกเขาด้วย
สังเกตสัญญาณ "พร้อมซื้อ": สัญญาณเช่น การหยิบสัญญา การลูบปากกา หรือการหงายฝ่ามือขึ้น เป็นสัญญาณว่าผู้ฟังพร้อมที่จะตัดสินใจหรือเห็นด้วย การสังเกตสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณรู้จังหวะในการนำเสนอข้อสรุป
สัญญาณ "ใช่" และ "ไม่": การพยักหน้าขึ้นลงเหมือนเป็ดพลาสติกหมายถึง "ใช่" โดยไม่พูดอะไร ในทางกลับกัน การส่ายหัวไปมา ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ตาม หมายถึง "ไม่" นักสื่อสารที่ไม่มีทักษะมักจะพูดต่อไปจนจบการนำเสนอ ซึ่งอาจทำให้ "ขายตัวเองไม่สำเร็จ" เพราะไม่สังเกตสัญญาณเหล่านี้
ไม่เพียงแค่การขาย: การสังเกตภาษากายยังใช้ได้กับเพื่อนและคนที่คุณรักด้วย ตัวอย่างเช่น เพื่อนที่บอกว่า "ฉันรักเขามาก" แต่ส่ายหัวไปมา แสดงว่าร่างกายของเธอรับรู้ในสิ่งที่จิตใจยังไม่เข้าใจ การสังเกตภาษากายช่วยให้คุณเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของผู้คนได้ลึกซึ้งกว่าคำพูด
"See No Bloopers, Hear No Bloopers": เป็นเทคนิคที่แนะนำให้ละเลยความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ของผู้อื่น เช่น ทำกาแฟหก ไอ จาม หรือสะอึก แทนที่จะทักท้วงหรือแสดงความเห็นอกเห็นใจ ให้ทำเป็นไม่สังเกตและสนทนาต่อไป สิ่งนี้จะช่วยสร้างความสบายใจและสร้างความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน
โดยรวมแล้ว การเป็นผู้สังเกตการณ์ภาษากายอย่างกระตือรือร้นจะช่วยให้คุณเข้าใจผู้อื่นได้ดีขึ้น และปรับการสื่อสารของคุณให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ทำให้คุณเป็นนักสื่อสารที่ประสบความสำเร็จมากขึ้น

8. มีเทคนิคการสื่อสารทางโทรศัพท์หรือข้อความเสียงที่สำคัญอย่างไรบ้าง?
การสื่อสารทางโทรศัพท์และข้อความเสียงก็มีความสำคัญไม่แพ้การสื่อสารแบบเห็นหน้ากัน:
"What Color Is Your Time?": ไม่ว่าการโทรของคุณจะเร่งด่วนแค่ไหน ให้เริ่มด้วยการถามเกี่ยวกับเวลาของอีกฝ่ายเสมอ เช่น "ตอนนี้สะดวกคุยไหม?" หรือใช้เทคนิค "What Color Is Your Time?" ที่ผู้โทรจะบอกว่าตนเองให้ความเคารพเวลาของอีกฝ่ายอย่างมาก และจะถามว่า "เวลาของคุณเป็นสีอะไร?" โดยให้ผู้รับตอบว่า "แดง" , "เหลือง" , หรือ "เขียว" เทคนิคนี้ช่วยให้คุณไม่รบกวนในเวลาที่ไม่เหมาะสม และเพิ่มโอกาสในการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพนักงานขาย ควรโทรในเวลาที่ "เขียว" เท่านั้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ
"Your Ten-Second Audition" : ข้อความที่คุณฝากไว้ในระบบวอยซ์เมลคือ "การออดิชั่นสิบวินาที" ของคุณ คุณสามารถบอกอะไรได้มากมายเกี่ยวกับตัวเองจากข้อความเหล่านั้น
เพิ่มบุคลิก: ใส่บุคลิกภาพลงไปในข้อความของคุณ จินตนาการถึงผู้ฟังและพูดอะไรบางอย่างที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นหรือทำให้พวกเขายิ้ม
เตรียมตัว: หากข้อความเสียงของใครบางคนปรากฏขึ้นโดยไม่คาดคิดและคุณไม่พร้อม ให้วางสายอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาสักครู่เพื่อสร้างข้อความที่น่าสนใจ น่าดึงดูด หรือน่าสนุก จากนั้นโทรกลับเพื่อฝากข้อความที่ยอดเยี่ยมนั้น
ความมั่นใจ ความชัดเจน และเสน่ห์: ข้อความของคุณควรสื่อสารด้วยความมั่นใจ ชัดเจน และมีเสน่ห์


Other Episodes

May 16, 2025

[รีวิว] Don't Believe Everything You Think (Joseph Nguyen) สรุปหนังสือ

ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Don't Believe Everything You Think เขียนโดย Joseph Nguyen - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/DontBelieveEverythingYouThink - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/DontBelieveEverythingYouThink - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B09WQ218GR?tag=9natree-20 #DontBelieveEverythingYouThink #รีวิวDontBelieveEverythingYouThink...

Play

00:09:47

June 04, 2025

[รีวิว] Forgiving What You Can't Forget (Lysa TerKeurst) สรุปหนังสือ

ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Forgiving What You Can't Forget เขียนโดย Lysa TerKeurst - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/ForgivingWhatYouCantForget - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/ForgivingWhatYouCantForget - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B085XNMMHV?tag=9natree-20 #ForgivingWhatYouCantForget #รีวิวForgivingWhatYouCantForget...

Play

00:07:44

June 02, 2025

[รีวิว] Extreme Ownership (Jocko Willink) สรุปหนังสือ

ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Extreme Ownership เขียนโดย Jocko Willink - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/ExtremeOwnership - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/ExtremeOwnership - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0739PYQSS?tag=9natree-20 #ExtremeOwnership #รีวิวExtremeOwnership #สรุปExtremeOwnership #หนังสือExtremeOwnership 1.ความเป็นเจ้าของสูงสุดคืออะไร...

Play

00:08:30