Show Notes
- พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/WhyNationsFail
- พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/WhyNationsFail
- Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0058Z4NR8?tag=9natree-20
#WhyNationsFail #รีวิวWhyNationsFail #สรุปWhyNationsFail #หนังสือWhyNationsFail
1. อะไรคือความแตกต่างพื้นฐานระหว่างสถาบันที่ส่งเสริมความสำเร็จทางเศรษฐกิจกับสถาบันที่ไม่ส่งเสริมความสำเร็จทางเศรษฐกิจ?
แหล่งข้อมูลเน้นความแตกต่างระหว่าง "สถาบันแบบครอบคลุม" และ "สถาบันแบบสกัดกั้น" สถาบันแบบครอบคลุมคือสถาบันที่อนุญาตและส่งเสริมให้ประชากรส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ด้วยระบบที่ให้การปกป้องทรัพย์สินที่เป็นธรรม บังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นกลาง และสร้างโอกาสสำหรับทุกคนโดยไม่คำนึงถึงภูมิหลัง ตัวอย่างเช่น ระบบสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริกาที่ช่วยให้คนที่มีความคิดสร้างสรรค์จากทุกชนชั้นสามารถได้รับสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและสร้างธุรกิจของตนเองได้ ในทางตรงกันข้าม สถาบันแบบสกัดกั้นคือสถาบันที่ออกแบบมาเพื่อสกัดกั้นความมั่งคั่งและอำนาจไปยังชนชั้นนำหรือกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ โดยจำกัดการเข้าถึงโอกาส การละเมิดสิทธิในทรัพย์สิน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม ตัวอย่างที่ชัดเจนคือระบบกุลต์ในเอธิโอเปียที่เจ้าของกุลต์สามารถสกัดกั้นผลผลิตทางการเกษตรจำนวนมากจากชาวนา หรือระบบสัมปทานและผูกขาดในเม็กซิโกภายใต้การปกครองของซานตา อานา และดิอาซ ที่เอื้อประโยชน์ให้กับผู้สนับสนุนของพวกเขา
2. เหตุใดประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาจึงประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจมากกว่าประเทศอย่างเม็กซิโกหรือส่วนอื่นๆ ของละตินอเมริกา?
ความแตกต่างนี้มีรากฐานมาจากการก่อตั้งอาณานิคมในช่วงต้น แหล่งข้อมูลระบุว่าเกิดความแตกต่างทางสถาบันอย่างรวดเร็วในยุคอาณานิคม การก่อตั้งอาณานิคมในอเมริกาเหนือมักจะนำไปสู่การสร้างสถาบันที่มีลักษณะครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งส่งเสริมการตั้งถิ่นฐาน การทำงานหนัก และนวัตกรรม ในขณะที่การก่อตั้งอาณานิคมในละตินอเมริกาส่วนใหญ่นำไปสู่การสร้างสถาบันแบบสกัดกั้นที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมและสกัดกั้นทรัพยากรและแรงงานจากชนพื้นเมืองและประชากรทั่วไป ความแตกต่างทางสถาบันนี้ยังคงมีผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน เห็นได้จากการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินและโอกาสที่แตกต่างกันในสองภูมิภาคนี้
3. บทบาทของนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ในสถาบันประเภทต่างๆ คืออะไร?
สถาบันแบบครอบคลุมจะส่งเสริมและปกป้องนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ระบบสิทธิบัตรในอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเป็นตัวอย่างของสถาบันที่ให้แรงจูงใจในการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ และอนุญาตให้บุคคลได้รับประโยชน์จากความคิดของตน ซึ่งนำไปสู่ "การทำลายล้างเชิงสร้างสรรค์" ที่เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ของเก่า ในทางตรงกันข้าม สถาบันแบบสกัดกั้นมักจะกลัวการทำลายล้างเชิงสร้างสรรค์ เนื่องจากอาจบ่อนทำลายอำนาจและผลประโยชน์ของชนชั้นนำ แหล่งข้อมูลกล่าวถึงตัวอย่างของเดนิส ปาปิน กับเรือกลไฟของเขาที่ถูกกีดกันโดยสมาคมเรือกลไฟในเยอรมนี หรือการต่อต้านการก่อตั้งโรงงานและทางรถไฟในรัสเซียและออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถาบันแบบสกัดกั้นมักจะขัดขวางความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
4. เหตุใดสถาบันแบบสกัดกั้นจึงไม่สามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนได้?
แม้สถาบันแบบสกัดกั้นอาจสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ในบางช่วงเวลา แต่การเติบโตนี้มักจะไม่ยั่งยืน แหล่งข้อมูลอธิบายว่าการเติบโตภายใต้สถาบันแบบสกัดกั้นมีข้อจำกัด เนื่องจากขาดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและมีแรงจูงใจในการลงทุนและนวัตกรรมที่ต่ำ นอกจากนี้ สถาบันแบบสกัดกั้นยังส่งเสริมการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่ต้องการควบคุมรัฐและการสกัดกั้นที่เกิดขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความไม่มั่นคงและความขัดแย้ง ตัวอย่างของอาณาจักรมายาแสดงให้เห็นว่าการเติบโตภายใต้สถาบันแบบสกัดกั้นสามารถนำไปสู่ความขัดแย้งภายในและท้ายที่สุดก็นำไปสู่ความล่มสลายได้
5. การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ ในอังกฤษส่งผลกระทบต่อการพัฒนาสถาบันและเศรษฐกิจอย่างไร?
การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ในปี 1688 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์อังกฤษ ทำให้ระบบการเมืองเปิดกว้างมากขึ้นและตอบสนองต่อความต้องการของสังคม อำนาจได้ย้ายจากกษัตริย์มาสู่รัฐสภา ซึ่งมีสมาชิกจำนวนมากที่มีผลประโยชน์ในการค้าและอุตสาหกรรม สิ่งนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสถาบันทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น การบังคับใช้สิทธิในทรัพย์สินอย่างเข้มงวด การยกเลิกการผูกขาดโดยส่วนใหญ่ การส่งเสริมกิจกรรมทางการค้า และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและคลอง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สร้างแรงจูงใจและโอกาสสำหรับการลงทุน การค้า และนวัตกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ปูทางไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม
6. เหตุใดความพยายามในการปฏิรูปสถาบันในประเทศที่สถาบันแบบสกัดกั้นหยั่งรากลึกจึงมักไม่ประสบความสำเร็จ?
ความพยายามในการปฏิรูปสถาบันในประเทศที่มีสถาบันแบบสกัดกั้นหยั่งรากลึกมักจะเผชิญกับอุปสรรคอย่างมาก แหล่งข้อมูลชี้ให้เห็นว่าแม้จะมีการแนะนำการปฏิรูปตามทฤษฎี แต่เจตนาของการปฏิรูปมักจะถูกบ่อนทำลายหรือนักการเมืองใช้ช่องทางอื่นเพื่อลดผลกระทบ ตัวอย่างในเม็กซิโกที่แม้จะมีรัฐธรรมนูญ แต่ผู้นำก็สามารถละเมิดสิทธิในทรัพย์สินและให้สัมปทานแก่ผู้สนับสนุนได้ หรือในซิมบับเวที่การประกาศให้ธนาคารกลางเป็นอิสระไม่มีความหมายในทางปฏิบัติ เนื่องจากประธานาธิบดียังคงมีอำนาจเหนือ แหล่งข้อมูลยังกล่าวถึง "recurso de amparo" ในเม็กซิโกที่ถูกใช้โดยกลุ่มผูกขาดเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมาย แสดงให้เห็นว่าสถาบันแบบสกัดกั้นมีกลไกในการป้องกันตนเองและรักษาอำนาจของชนชั้นนำ
7. การค้าทาสและการเข้ามาของบริษัทการค้าของยุโรปส่งผลกระทบต่อการพัฒนาสถาบันในบางภูมิภาคของโลกอย่างไร?
การค้าทาสและการเข้ามาของบริษัทการค้าของยุโรป เช่น บริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ มีผลกระทบอย่างรุนแรงและมักจะย้อนกลับการพัฒนาในบางภูมิภาค ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเข้ามาของบริษัทดัตช์นำไปสู่การทำลายล้างสังคมและการสร้างระบบการเพาะปลูกที่สกัดกั้นความมั่งคั่งอย่างรุนแรง และยังทำให้รัฐอื่นๆ ในภูมิภาคเลิกการผลิตเพื่อการส่งออกและหันมาพึ่งพาตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงภัยคุกคามจากชาวดัตช์ ในแอฟริกา การค้าทาสได้บิดเบือนสถาบันและนำไปสู่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจเพื่อจับและขายทาส ทำให้ความพยายามในการรวมศูนย์อำนาจรัฐอ่อนแอลง และสร้างสถาบันที่สกัดกั้นซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว
8. ประเทศอย่างบอตสวานาสามารถ "หลุดพ้น" จากรูปแบบการพัฒนาแบบสกัดกั้นได้อย่างไร?
บอตสวานาเป็นตัวอย่างของประเทศที่สามารถหลุดพ้นจากรูปแบบการพัฒนาแบบสกัดกั้นและสร้างสถาบันแบบครอบคลุมได้สำเร็จ แหล่งข้อมูลระบุว่าบอตสวานาสามารถใช้ประโยชน์จากจุดเปลี่ยนสำคัญ นั่นคือความเป็นเอกราชหลังยุคอาณานิคม เพื่อจัดตั้งสถาบันแบบครอบคลุม แตกต่างจากประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ในแอฟริกาตอนใต้ สถาบันชนเผ่าในบอตสวานาได้มีการรวมศูนย์อำนาจในระดับหนึ่งและมีกลไกในการปรึกษาหารือ ก่อนยุคอาณานิคม ประวัติศาสตร์สถาบันก่อนยุคอาณานิคมนี้เมื่อรวมกับจุดเปลี่ยนของการได้รับเอกราช และการตัดสินใจของชนชั้นนำดั้งเดิมและพรรคประชาธิปไตยบอตสวานาที่จะไม่จัดตั้งระบอบเผด็จการหรือสถาบันแบบสกัดกั้น ทำให้บอตสวานาสามารถสร้างสถาบันที่ค่อนข้างครอบคลุมได้สำเร็จ ซึ่งส่งผลให้ประเทศมีความมั่นคงและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค