Show Notes
- พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheIdahoFourAnAmericanTragedy
- พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheIdahoFourAnAmericanTragedy
- Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0DVSP125W?tag=9natree-20
#TheIdahoFourAnAmericanTragedy #รีวิวTheIdahoFourAnAmericanTragedy #สรุปTheIdahoFourAnAmericanTragedy #หนังสือTheIdahoFourAnAmericanTragedy
1. "The Idaho Four" เป็นหนังสือประเภทใด และเนื้อหาหลักของเรื่องคืออะไร?
"The Idaho Four" เป็นหนังสือแนวเรื่องจริงที่อ่านเหมือนนิยาย โดยผู้เขียน James Patterson และ Vicky Ward ระบุว่าทุกรายละเอียดในหนังสือเล่มนี้มาจากแหล่งข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด ทั้งจากการสัมภาษณ์และเอกสารข้อเท็จจริง หนังสือเล่าเรื่องราวของการฆาตกรรมอันน่าเศร้าของนักศึกษามหาวิทยาลัยไอดาโฮสี่คน ได้แก่ Ethan Chapin, Xana Kernodle, Maddie Mogen และ Kaylee Goncalves เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2022 ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "Idaho Four" เป้าหมายของหนังสือไม่ใช่การคาดเดาผลการพิจารณาคดีของ Bryan Kohberger ผู้ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม แต่เป็นการเล่าถึงผลกระทบของอาชญากรรมเหล่านี้ต่อเมืองเล็กๆ ในอเมริกา รวมถึงการสำรวจเบื้องลึกของการสืบสวนคดีที่ซับซ้อนนี้
2. ใครคือ "The Idaho Four" และพวกเขามีชีวิตเป็นอย่างไรก่อนเกิดเหตุ?
"The Idaho Four" คือนักศึกษาสี่คนของมหาวิทยาลัยไอดาโฮที่ถูกฆาตกรรม:
Kaylee Goncalves และ Maddie Mogen: สองเพื่อนซี้ผมบลอนด์ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก พวกเธอเลือกมหาวิทยาลัยไอดาโฮเพราะต้องการเข้าร่วมชมรมกรีก แม้จะถูกแยกไปอยู่คนละบ้านของชมรม แต่พวกเธอก็ยังคงสนิทกันมาก Kaylee มีนิสัยชอบเข้าสังคมและใฝ่ฝันอยากทำงานด้านไอที ส่วน Maddie เป็นคนเงียบกว่าและชอบการถ่ายภาพและงานด้านการตลาด ทั้งคู่ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่บ้านเช่า 1122 King Road ในช่วงปีสุดท้ายของการศึกษา
Xana Kernodle: เพื่อนร่วมบ้าน Pi Phi ของ Maddie ที่มีบุคลิกร่าเริงและไม่เกรงกลัวใคร เธอเติบโตมาอย่างอิสระและขาดความอบอุ่นจากแม่ เธอสนิทกับเพื่อนร่วมบ้านมาก โดยเฉพาะ Emily Alandt และ Ethan Chapin ซึ่งต่อมากลายเป็นแฟนของเธอ Xana เริ่มสนใจที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและวางแผนอนาคตร่วมกับ Ethan
Ethan Chapin: นักกีฬาหนุ่มผู้มากความสามารถจาก Mount Vernon รัฐวอชิงตัน เขาเป็นหนึ่งในสามพี่น้องฝาแฝด และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพี่น้องมาก Ethan เป็นคนเรียบง่ายและรักการผจญภัย เขาเริ่มคบหากับ Xana และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่บ้าน 1122 King Road
3. Bryan Kohberger ผู้ต้องสงสัยหลัก มีภูมิหลังและความเชื่อมโยงกับคดีนี้อย่างไร?
Bryan Kohberger เป็นนักศึกษาปริญญาโทและผู้ช่วยสอนในสาขาอาชญาวิทยาที่ Washington State University ใน Pullman, Washington ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Moscow, Idaho หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอภูมิหลังที่ซับซ้อนของเขา ซึ่งรวมถึง:
พฤติกรรมในวัยรุ่น: มีปัญหาในการเข้าสังคม ถูกรังแก และมีประวัติการใช้ยาเสพติด โดยเฉพาะเฮโรอีน เขายังเคยถูกจับกุมในข้อหาลักทรัพย์โทรศัพท์มือถือของน้องสาวเพื่อนำไปขาย
ความสนใจในอาชญาวิทยา: เขาศึกษาจิตวิทยาและต่อมาก็อาชญาวิทยาในระดับปริญญาโท โดยแสดงความสนใจอย่างมากในชั้นเรียนที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์อาชญากรรมและโปรไฟล์ฆาตกรต่อเนื่อง เช่น Ted Bundy และ Elliot Rodger เขายังได้เขียนเรียงความเกี่ยวกับ "การจัดการฉากอาชญากรรม" และความสำคัญของ DNA
ปัญหาทางสังคมและพฤติกรรมต่อผู้หญิง: เขาถูกมองว่าเป็นคนแปลกและมีปัญหากับผู้หญิงในชั้นเรียน รวมถึงพยายามเข้าหาผู้หญิงในบาร์และถูกร้องเรียนเรื่องพฤติกรรมคุกคาม มีการระบุว่าเขามีมุมมองแบบอนุรักษ์นิยมเกี่ยวกับบทบาททางเพศ และเชื่อว่าผู้หญิงควรอยู่บ้าน
การเฝ้าติดตามบ้านที่เกิดเหตุ: มีการกล่าวหาว่าโทรศัพท์มือถือของ Kohberger ถูกตรวจพบในพื้นที่ใกล้เคียงบ้าน 1122 King Road อย่างน้อย 12 ครั้งก่อนเกิดเหตุ โดยส่วนใหญ่ในช่วงดึก
หนังสือเล่มนี้ระบุว่าหลักฐานสำคัญที่เชื่อมโยง Kohberger กับคดีคือปลอกมีดที่พบในที่เกิดเหตุซึ่งมี DNA ของเขา รวมถึงข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือและการเคลื่อนไหวของรถยนต์ Hyundai Elantra สีขาวของเขา
4. มีการตอบสนองเริ่มต้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองมอสโกว์ต่อเหตุการณ์นี้อย่างไร?
เมื่อ Chief James Fry ของกรมตำรวจ Moscow ได้รับแจ้งเหตุฆาตกรรมหมู่ 4 ศพที่ 1122 King Road เขาตระหนักทันทีว่านี่เป็นคดีที่ใหญ่เกินกว่าที่กรมตำรวจเมืองเล็กๆ จะรับมือได้เพียงลำพัง แม้จะมีประสบการณ์กับคดีฆาตกรรมก่อนหน้านี้ แต่เขาก็รู้ว่าคดีนี้แตกต่างออกไปและจะทดสอบหน่วยงานของเขาอย่างไม่เคยมีมาก่อน
การขอความช่วยเหลือ: Fry ทราบดีว่าเขาต้องการการสนับสนุนจากตำรวจรัฐไอดาโฮ และอาจรวมถึง FBI ด้วย
การจัดการที่เกิดเหตุ: เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาที่เกิดเหตุให้ปลอดภัยและป้องกันการปนเปื้อนของหลักฐาน โดยมอบหมายให้กัปตัน Tyson Berrett เป็นผู้รับผิดชอบหลัก
การปกป้องข้อมูล: Fry และอัยการ Bill Thompson เห็นพ้องกันว่าจำเป็นต้องเก็บข้อมูลการสืบสวนเป็นความลับอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการรั่วไหลที่อาจเป็นอันตรายต่อคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นพบปลอกมีด
การดูแลเจ้าหน้าที่: Fry แสดงความกังวลอย่างมากต่อ Mitch Nunes เจ้าหน้าที่ที่อายุน้อยที่สุด ซึ่งเป็นคนแรกที่เห็นฉากฆาตกรรมสุดสยอง และให้คำมั่นว่าจะจัดหาทรัพยากรด้านสุขภาพจิตเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่รับมือกับความบอบช้ำ
5. การสื่อสารกับสาธารณะและสื่อในช่วงแรกของการสืบสวนเป็นอย่างไร และนำไปสู่ผลลัพธ์อะไรบ้าง?
การสื่อสารของตำรวจมอสโกว์กับสาธารณะและสื่อในช่วงแรกเป็นไปอย่างยากลำบากและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก:
ข้อมูลขัดแย้ง: ในตอนแรก ตำรวจและมหาวิทยาลัยไอดาโฮออกแถลงการณ์ที่ขัดแย้งกัน โดยตำรวจระบุว่า "ไม่มีภัยคุกคามต่อสาธารณะ" ในขณะที่มหาวิทยาลัยออกประกาศเตือนให้ "หลบภัยในที่ตั้ง" ความไม่สอดคล้องกันนี้ทำให้เกิดความสับสนและตื่นตระหนกในชุมชน
การขาดข้อมูล: การที่ตำรวจปิดปากเงียบและให้ข้อมูลน้อยมาก สร้างความไม่พอใจให้กับสาธารณะและครอบครัวเหยื่อ ครอบครัว Goncalves โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Steve และ Alivea รู้สึกผิดหวังอย่างมากที่ตำรวจไม่แบ่งปันข้อมูลใดๆ กับพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนถูกกีดกัน และต้องพยายามหาข้อมูลด้วยตัวเอง
ข่าวลือและการคาดเดา: การขาดข้อมูลที่ถูกต้องจากทางการทำให้เกิดข่าวลือและทฤษฎีสมคบคิดมากมายบนโซเชียลมีเดีย เช่น เรื่องยาเสพติด ความรุนแรงของชมรมกรีก หรือแม้แต่การมีส่วนเกี่ยวข้องขององค์กรอาชญากรรม ทำให้ชื่อเสียงของเหยื่อและครอบครัวต้องเสียหาย
การถูกมองว่าเป็น "Keystone Cops": กรมตำรวจมอสโกว์ถูกสื่อระดับประเทศมองว่าไร้ประสบการณ์และไม่สามารถจัดการคดีใหญ่ได้ การเปลี่ยนแปลงคำแถลงเรื่อง "ไม่มีภัยคุกคาม" ไปเป็น "ผู้กระทำผิดยังคงอยู่ข้างนอก" ยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือลดลง
การแทรกแซงของครอบครัวเหยื่อ: ด้วยความไม่พอใจ Steve Goncalves และ Alivea น้องสาวของ Kaylee จึงตัดสินใจให้สัมภาษณ์สื่อเพื่อเล่าเรื่องราวของ Kaylee และ Maddie เพื่อกระตุ้นให้สาธารณะชนช่วยหาเบาะแสและแก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับเหยื่อ
ความท้าทายในการสื่อสารนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดการข้อมูลในคดีอาชญากรรมที่ได้รับความสนใจอย่างสูง และแสดงให้เห็นว่าการขาดความโปร่งใสสามารถนำไปสู่การบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของสาธารณะได้อย่างไร
6. โซเชียลมีเดียมีบทบาทอย่างไรในการสืบสวนและการรับรู้ของสาธารณะต่อคดีนี้?
โซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญและซับซ้อนอย่างยิ่งในคดีนี้:
แหล่งข้อมูลและข่าวลือ: แพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Snapchat, Instagram, Reddit และ Yik Yak กลายเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญ แต่ก็เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ข่าวลือและทฤษฎีสมคบคิดมากมาย ผู้คนต่างคาดเดาเกี่ยวกับสาเหตุการฆาตกรรม ตัวตนของฆาตกร และแม้กระทั่งกล่าวโทษผู้รอดชีวิตและเพื่อนสนิทของเหยื่อ
การรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ของประชาชน: กลุ่ม Facebook "University of Idaho—Case Discussion" ที่ก่อตั้งโดย Kristine Cameron และ Alina Smith กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกหลายแสนคน ผู้คนต่างแบ่งปันข้อมูล รูปภาพ และวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับคดี พยายามปะติดปะต่อเหตุการณ์ด้วยตัวเอง ซึ่งบางครั้งก็ให้เบาะแสที่มีประโยชน์แก่ FBI
การเปิดเผยตัวตนของ "Pappa Rodger": ผู้ใช้งาน "Pappa Rodger" บนกลุ่ม Facebook นี้โดดเด่นด้วยความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับคดีและพฤติกรรมแปลกๆ ที่ทำให้เกิดการคาดเดาว่าเขาอาจเป็นฆาตกรในภายหลัง ซึ่งต่อมามีการเชื่อมโยงกับ Bryan Kohberger หลังจากการจับกุม
ผลกระทบต่อครอบครัวเหยื่อและผู้รอดชีวิต: การคาดเดาและข่าวลือบนโซเชียลมีเดียสร้างความทุกข์ทรมานอย่างมากให้กับครอบครัวเหยื่อและผู้รอดชีวิต พวกเขาต้องเผชิญกับการถูกกล่าวหา การคุกคาม และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคนที่พวกเขารัก
ช่องทางในการสื่อสารของครอบครัว: ครอบครัว Goncalves ใช้โซเชียลมีเดียและสื่อมวลชนเพื่อแก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับ Kaylee และ Maddie และเรียกร้องให้สาธารณะชนช่วยหาเบาะแส โดย Steve และ Alivea Goncalves ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างๆ เพื่อแบ่งปันเรื่องราวและอัปเดตข้อมูลที่พวกเขาทราบ
บทบาทของโซเชียลมีเดียสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของการสืบสวนในยุคดิจิทัล ซึ่งข้อมูลทั้งจริงและเท็จสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อคดีและผู้ที่เกี่ยวข้อง
7. บทบาทของ "ปลอกมีด" และ DNA ในการจับกุม Bryan Kohberger มีความสำคัญอย่างไร?
"ปลอกมีด" ที่พบในที่เกิดเหตุมีความสำคัญอย่างยิ่งในการนำไปสู่การจับกุม Bryan Kohberger:
หลักฐานสำคัญ: ปลอกมีดที่พบข้างเตียงของ Maddie ถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญและแข็งแกร่งที่สุดชิ้นหนึ่งที่ตำรวจมี
การวิเคราะห์ DNA เชิงสืบสวน: ทีมสืบสวนได้ส่งตัวอย่าง DNA จากปลอกมีดไปยังห้องแล็บ Othram ซึ่งทำการตรวจสอบกับฐานข้อมูลพันธุกรรมสาธารณะ วิธีนี้ทำให้สามารถสร้างแผนผังครอบครัวและระบุผู้ที่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับ DNA ที่พบ
การเชื่อมโยงกับครอบครัว Kohberger: ผลการวิเคราะห์นำไปสู่การระบุว่า DNA ที่พบมีความเชื่อมโยงกับสมาชิกครอบครัว Kohberger จากเพนซิลเวเนีย
การยืนยันตัวตน: แม้จะได้รับเบาะแสจากฐานข้อมูลพันธุกรรม แต่หลักฐานที่ยืนยันตัวตนของ Bryan Kohberger อย่างชัดเจนคือ DNA ที่เก็บได้จากถังขยะของบ้านพ่อแม่เขาในเพนซิลเวเนีย ซึ่งมีโอกาส 99.9998% ที่จะเป็น DNA ของพ่อของบุคคลที่ทิ้งปลอกมีดไว้ในที่เกิดเหตุ เมื่อนำไปเทียบกับ DNA ของ Bryan เองที่เก็บได้หลังการจับกุม ก็พบว่าตรงกันอย่างสมบูรณ์
การค้นพบปลอกมีดและเทคนิค DNA เชิงสืบสวนนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของคดี โดยเปลี่ยนจากการสืบสวนแบบไร้ทิศทางไปสู่การระบุตัวผู้ต้องสงสัยที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
8. ผลกระทบระยะยาวของคดีนี้ต่อเมืองมอสโกว์ ชุมชนมหาวิทยาลัย และครอบครัวเหยื่อคืออะไร?
คดีฆาตกรรม "The Idaho Four" มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงและยาวนานต่อหลายฝ่าย:
เมืองมอสโกว์: เมืองเล็กๆ ที่เคยปลอดภัยแห่งนี้สูญเสียความรู้สึกสงบสุข ผู้คนตื่นตระหนกและหวาดกลัวมากขึ้น ประตูบ้านและรถยนต์ที่เคยเปิดทิ้งไว้ก็ถูกล็อกอย่างแน่นหนา ธุรกิจในท้องถิ่นได้รับผลกระทบจากการที่นักศึกษาจำนวนมากเดินทางกลับบ้านหลังเกิดเหตุ นอกจากนี้เมืองยังต้องเผชิญกับกระแสข่าวและสื่อมวลชนระดับประเทศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ชุมชนมหาวิทยาลัยไอดาโฮ : เหตุการณ์นี้สร้างความบอบช้ำทางจิตใจอย่างรุนแรงต่อนักศึกษาและเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยต้องยกเลิกชั้นเรียนและจัดหาบริการให้คำปรึกษาสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ การรื้อถอนบ้าน 1122 King Road แม้จะเป็นการช่วยเยียวยาจิตใจบางคน แต่ก็สร้างความขัดแย้งในหมู่ครอบครัวเหยื่อบางคนที่ไม่เห็นด้วย นอกจากนี้ การสร้าง "Vandal Healing Garden and Memorial" ก็เป็นความพยายามของมหาวิทยาลัยในการสร้างพื้นที่เพื่อระลึกถึงเหยื่อและส่งเสริมการเยียวยา
Washington State University : มหาวิทยาลัยแห่งนี้ต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างใกล้ชิดและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากการที่ Bryan Kohberger ซึ่งเป็นผู้ช่วยสอนและนักศึกษาปริญญาเอก ถูกจับกุมในคดีนี้ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับกระบวนการจ้างงานและการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเขา นอกจากนี้ คณาจารย์และนักศึกษาในภาควิชาอาชญาวิทยาของ WSU ยังต้องรับมือกับความรู้สึกตกใจและผิดหวังที่ไม่ได้สังเกตเห็น "สัญญาณอันตราย" ในตัว Kohberger
ครอบครัวเหยื่อ: แต่ละครอบครัวแสดงปฏิกิริยาและรับมือกับความโศกเศร้าในแบบที่แตกต่างกัน:
ครอบครัว Chapin: Jim และ Stacy Chapin เลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างสิ่งดีๆ จากโศกนาฏกรรม โดยก่อตั้งมูลนิธิ "Ethan's Smile" เพื่อมอบทุนการศึกษาและส่งเสริมให้ผู้คนดำเนินชีวิตต่อไปด้วยความหวัง พวกเขามักจะพูดถึงชีวิตของ Ethan มากกว่าการเสียชีวิตของเขา และไม่กลัวที่จะปรากฏตัวต่อสาธารณะ
ครอบครัว Goncalves: Steve และ Kristi Goncalves แสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผยต่อการสืบสวนและระบบยุติธรรมที่ล่าช้าและไม่โปร่งใส พวกเขาพยายามมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการสืบสวนด้วยตนเองและใช้สื่อเพื่อกดดันเจ้าหน้าที่และแก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับ Kaylee และ Maddie พวกเขายังเป็นผู้ริเริ่มในการคัดค้านการรื้อถอนบ้านที่เกิดเหตุ
ครอบครัว Kernodle และ Mogen: โดยทั่วไปแล้วครอบครัวเหล่านี้จะเก็บตัวเงียบและไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัว Kernodle ที่ต้องเผชิญกับปัญหาเพิ่มเติมเมื่อแม่ของ Xana ถูกจับในข้อหาครอบครองยาเสพติดหลังจาก Xana เสียชีวิต
โดยรวมแล้ว คดีนี้ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของชุมชนที่เกี่ยวข้องไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงความปลอดภัย ความโปร่งใสของกระบวนการยุติธรรม และผลกระทบของการสืบสวนที่ได้รับความสนใจอย่างสูง